การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ 1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น 2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน 3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน 4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ หลักการที่สำคัญ 1. ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 2. มีการเลือกคนให้เหมาะสม 3. มีกระบวนการพัฒนาคน 4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว (นายนภนต์ เจียรนัย 12590040)
เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว (อารียา ปานทอง 12590109 )
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
หลักการที่สำคัญ 1. ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 2. มีการเลือกคนให้เหมาะสม 3. มีกระบวนการพัฒนาคน 4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.การแบ่งงาน (Division of Labors) 2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierachy) 3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment) The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ -เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection) การคัดเลือกคนจะต้องมีการนำเอากฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการคัดเลือก เพื่อให้ได้คนงานที่มี ทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน -ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training) จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป -หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation) ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน นางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ Frederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.การแบ่งงาน 2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน 3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ -เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน -ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป -หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว (ศุภิสรา นรินยา 12590717)
Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์” Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ 1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น 2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน 3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน 4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน (วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ Frederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.การแบ่งงาน 2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน 3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ -เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน -ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป -หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว (น.ส.สุชานรี เวียนมานะ 12590089)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ 1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น 2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน 3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน 4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ 1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น 2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน 3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน 4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน (นางสาวพัชรา จูเอี่ยม 12590054)
Frederick Winslow Taylor เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ Taylor กำหนดหลักการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ 4 ข้อคือ
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ Frederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.การแบ่งงาน 2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน 3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ -เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน -ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป -หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว นางสาวภัทราพร ผังรักษ์ 12590061
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
3.ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือใคร มีหลักการอย่างไร และจงยกตัวอย่างผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
ตอบลบผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
เทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงของเทเลอร์ คือ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงาน คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(อภิษฐา เนียมศิริ 12590101)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ
1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น
2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน
4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
(นางสาว สรัสนันท์ บุญมี 12590080)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือเฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856 โดยกำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
ตอบลบ1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ซึ่งผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้ อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization) ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบ รายชิ้น (Piece Rate System) ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และ คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาว ณัฐฐา จินตกวีพันธุ์ 12590020)
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบหลักการที่สำคัญ
1. ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
2. มีการเลือกคนให้เหมาะสม
3. มีกระบวนการพัฒนาคน
4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(นายนภนต์ เจียรนัย 12590040)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ ใช้หลักการ 1.ค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน(One Best Way) 2.จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบ 3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีที่กำหนด 4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด โดยการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าที่ดีที่สุดโดยการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆใช้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้นส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว ใช้หลักการ 4 ประการ
ตอบลบ(นางสาวอัมรินทร์ เกมอ 12590105)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ท และเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบมีหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” ในการทำงานนั้น
2.แบ่งงานและความรับผิดชอบให้เหมาะสมระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน โดยฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการวางแผนวิธีการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ และพนักงานมีหน้าที่ทำตามแผนที่วางไว้
3.คัดเลือกพนักงานตามหลักการและฝึกอบรมให้พนักงานทำงานตามหลักการที่วางไว้
4.ฝ่ายบริหารประสานกับพนักงานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าพนักงานได้ทำงานตามวิธีการทำงานที่ดีที่สุด
ผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวปรมาพร สิงขรรัตน์ 12590046)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management Approach) ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 (สมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรม) จากความพยายามของนักคิดที่ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานโดย Frederick w. Taylor ซึ่งเป็นผู้ค้นคิดสำคัญในการวางหลักการและทฤษฎีการจัดการที่ถูกต้องขึ้นเป็นครั้งแรกจนได้รับการยกย่องเป็น“ บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” ซึ่งจากการศึกษาวิธีการปฏิบัติงานด้านการผลิตในระดับโรงงานเป็นครั้งแรกนั้น Taylor ได้ประกาศใช้หลักการ (principles) ต่าง ๆ ที่เขาใช้ในการปฏิบัติงานหรือที่เรียกว่าการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ (Scientific management) Taylor ได้ริเริ่มกระบวนการหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบกับความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับคนงานเพื่อที่จะหาวิธีการปรับปรุงและออกแบบกระบวนการในการปฏิบัติงานใหม่ซึ่งผลงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็กโดยค้นหาวิธีการที่ดีที่สุด (One best way) ในการขนเหล็กทั้งความเหมาะสมของอปกรณ์การอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์การแบ่งส่วนงานและการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น (Piece Rate System) โดยอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการหาข้อสรุปต่าง ๆ ซึ่งหลักการสำคัญมี 4 ประการคือ
ตอบลบ1. การทำงานแต่ละงานให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด“ วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสมพร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. จัดตั้งระบบการประเมินประสิทธิภาพในการทำงานและระบบการจ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรมและเหมาะสม
(ชนกนาฎ สหทรัพย์เจริญ 12590012)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856 – 1915 ในการศึกษาค้นคว้าทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยอ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์นี้ เทย์เลอร์ให้ความสำคัญในหลักการจัดการ 4 ประการ คือ
ตอบลบ1. เลือกวิธีที่ดีที่สุด
2. จัดหมวดหมู่ในการทำงาน พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานให้เหมาะสม
3. เลือกคนให้เหมาะกับงาน แล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ฝ่ายบริหารต้องประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ตัวอย่าง Taylor ตั้งใจชี้ให้เห็นว่าการจัดการในรูปแบบนี้ดีกว่าการจัดการในรูปแบบเดิมอย่าง Rule of Thumb ที่ไม่มีรูปแบบชัดเจนดั่งในอดีตที่ผ่านมา โดยเขาได้เริ่มศึกษาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโรงงานอุตสหากรรมหลอมเหล็กที่เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการบริหารงานไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง Taylor ได้นำเอาวิธีการต่างๆ มาใช้ ตั้งแต่ การฝึกอบรมให้พนักงานใช้อุปกรณ์, การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน, ตลอดจนการใช้วิธีจ่ายค่าแรงตามรายชิ้น ซึ่งทำให้โรงงานนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว สำหรับแนวความคิดตามรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต (นางสาว ปวีณา เกตุแย้ม 12590047)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ได้แก่
ตอบลบ1. คิดค้นและกำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2. จัดหมวดหมู่และแบ่งงานให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงาน
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ในกับคนงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดเวลาวิธีการจ่ายค่าตอบแทน
(นางสาวณัฐนรี สีทองสุก 12590022)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
ตอบลบเทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงาน คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวสุรีรัตน์ สระเกตุ 12590098)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ “บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์”
ตอบลบเทย์เลอร์ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ คือ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และ คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวกรกนก จันทร์พันธุ์ 12590003)
เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
ตอบลบ(อารียา ปานทอง 12590109 )
ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทยเลอร์
ตอบลบเทย์เลอร์กำหนดหลักการสำคัญในการจัดการ4ประการซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา
1.ในการทำงานแต่ละงาน ใช้วิธีวิทยาศาสตร์ คิดค้น กำหนด วิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม แบ่งงานและหน้าที่ให้เหมาะสมกับคน
3.คัดเลือกคนที่เหมาะสม และอบรมพัฒนารามวิธีที่กำหนด
ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ผลงาน
พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขน การฝึกอบรมวิธีใช้อุปกรณ์ให้พนักงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนให้ชัดเจน จ่ายี่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้การขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ4เท่า
น.ส.วราภรณ์ ขันสมบัติ 12590069
-ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915)
ตอบลบเป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
-หลักการในการบริหารจัดการ มี 4 ประการ
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
-ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(ปิยาภรณ์ ชินวงค์พรหม 12590051)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”เทย์เลอร์ให้ความสำคัญในหลักการจัดการ 4 ประการ คือ
1. เลือกวิธีที่ดีที่สุด
2. จัดหมวดหมู่ในการทำงาน พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานให้เหมาะสม
3. เลือกคนให้เหมาะกับงาน แล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ฝ่ายบริหารต้องประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ตัวอย่าง Taylor ตั้งใจชี้ให้เห็นว่าการจัดการในรูปแบบนี้ดีกว่าการจัดการในรูปแบบเดิมอย่าง Rule of Thumb ที่ไม่มีรูปแบบชัดเจนดั่งในอดีตที่ผ่านมา โดยเขาได้เริ่มศึกษาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโรงงานอุตสหากรรมหลอมเหล็กที่เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการบริหารงานไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง Taylor ได้นำเอาวิธีการต่างๆ มาใช้ ตั้งแต่ การฝึกอบรมให้พนักงานใช้อุปกรณ์, การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน, ตลอดจนการใช้วิธีจ่ายค่าแรงตามรายชิ้น ซึ่งทำให้โรงงานนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว สำหรับแนวความคิดตามรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต
น.ส.อภัสสร ปูชนียกุล 12590100
ตอบลบผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทเลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ค.ศ. 1856 – 1915 หลักการที่สำคัญ (1) ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (2) มีการเลือกคนให้เหมาะสม (3) มีกระบวนการพัฒนาคน (4)สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
ข้อเสีย การบริหารจัดการแบบวิทยศาสต์ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบที่เป็นมนุษย์ ทำให้ขาดความไว้วางใจผู้บริหาร การนำไปใช้ ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific Management)" นี้ Taylor เห็นว่าสามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของ Taylor ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่องผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์
(สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์ 12590954)
ตอบลบผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทเลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ค.ศ. 1856 – 1915 หลักการที่สำคัญ (1) ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (2) มีการเลือกคนให้เหมาะสม (3) มีกระบวนการพัฒนาคน (4)สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
ข้อเสีย การบริหารจัดการแบบวิทยศาสต์ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบที่เป็นมนุษย์ ทำให้ขาดความไว้วางใจผู้บริหาร การนำไปใช้ ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific Management)" นี้ Taylor เห็นว่าสามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของ Taylor ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่องผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์
(สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์ 12590954)
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
หลักการที่สำคัญ
1. ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
2. มีการเลือกคนให้เหมาะสม
3. มีกระบวนการพัฒนาคน
4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
Taylor ได้ ประดิษฐ์เครื่องจักรที่ใช้ตัดเหล็กด้วยความเร็วสูง โดยอุทิศชีวิตและเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีต ประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงานมาแต่ก่อน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์
สุภัทษา สนธิช่วย 12590096
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
ตอบลบโดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน (Division of Labors)
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierachy)
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment) The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection) การคัดเลือกคนจะต้องมีการนำเอากฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการคัดเลือก เพื่อให้ได้คนงานที่มี ทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training) จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation) ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน
นางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086
Frederic W.Taylor
ตอบลบทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
แนวคิดทฤษฎีได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการบริหารการศึกษา เช่น ในการสอบคัดเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ มาเพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์กรหรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ในเรื่องของการให้ incentive ซึ่งจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มยอดขายของร้านบ้านใบกะเพรา เป็นต้น
(ณัฐชัญญา ปรินจิตต์ 12590896)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบFrederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ
The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(ศุภิสรา นรินยา 12590717)
Frederic W.Taylor
ตอบลบทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน (Division of Labors)
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierachy)
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment) The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection) การคัดเลือกคนจะต้องมีการนำเอากฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการคัดเลือก เพื่อให้ได้คนงานที่มี ทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training) จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation) ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน
การนำไปใช้ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific management)" นี้เจ้าของทฤษฎีเห็นว่า สามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของทฤษฎีนี้ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับ ผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่อง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์
(น.ส.ศศิพิมพ์ ชัยกุลพัฒนา 1259OO76)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ “บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์”
ตอบลบเทย์เลอร์ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ คือ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และ คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
( นายสุกัลย์ จันทร์ตรี 12590087)
Frederick Winslow Taylor เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ
ตอบลบ1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น
2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน
4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(ณัฐฌา ปักกัง 12590019)
3.ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือใคร มีหลักการอย่างไร และจงยกตัวอย่างผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จทางการบริหารจัดการ
ตอบลบตอบ : ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ที่ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานโดยอาศัยวิธีการที่ได้จากการศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ มีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลอง แล้วจึงวัดผลการทดลองในกรณีต่างๆ ทำการทดลองตามกระบวนการซ้ำแล้วซ้ำอีกจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กระทั่งสามารถค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานในโรงงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการใช้ วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวแล้คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
จากความสำเร็จในการศึกษาค้นคว้าทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธภาพในการทำงานโดยอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เทย์เลอร์จึงกำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา คือ
1. กำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
นางสาวสุดารัตน์ สุขสาม (รหัส 12590090)
แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ เกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานคือเฟรดเดอริก วินสโลว์ เทเลอร์ โดยมีแนวคิดดังต่อไปนี้
ตอบลบ1.ในการทำงานแต่ละงานให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดและกำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่การทำงานให้เหมาะสมพร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมและพัฒนาวิธีการที่กำหนด
4.ให้ฝ่ายบริหารความเข้าใจในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ การจัดการผลผลิตในการคนเล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็กโดยการหาวิธีที่ดีที่สุดในการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้านตลอดจนวิธีการจ่ายค่าตอบแทน
นางสาวกุลปริยา แย้มเกษร 12590005
แนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบการจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการการทำงานแบบมีระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก็คือ “กฎระเบียบ” นำมาใช้กับการปฎิบัติงาน มีการศึกษาเหตุและผล เก็บข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดในการทำงานั้นๆ เริ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นแรงงานจากเครื่องจักร ทฤษฎีในยุคนี้จะมุ่งเน้นไปยังเป้าหมาย ผลสำเร็จ ที่มาจากการจัดการทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นักทฤษฎีและแนวความคิดที่โดดเด่น
Frederic Winslow Taylor (เฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์) : บุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุคและถือเป็นผู้เริ่มต้นสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการเลยก็ว่าได้ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Principle of Scientific Management)” ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่นำแนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) มาใช้กับระบบอุตสาหกรรม เขาตั้งใจชี้ให้เห็นว่าการจัดการในรูปแบบนี้ดีกว่าการจัดการในรูปแบบเดิมอย่าง Rule of Thumb ที่ไม่มีรูปแบบชัดเจนดั่งในอดีตที่ผ่านมา โดยเขาได้เริ่มศึกษาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโรงงานอุตสหากรรมหลอมเหล็กที่เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการบริหารงานไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง Taylor ได้นำเอาวิธีการต่างๆ มาใช้ ตั้งแต่ การฝึกอบรมให้พนักงานใช้อุปกรณ์, การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน, ตลอดจนการใช้วิธีจ่ายค่าแรงตามรายชิ้น ซึ่งทำให้โรงงานนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว สำหรับแนวความคิดตามรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต
(น.ส.ดารารัตน์ ดาสาลี 12590030)
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
ตอบลบโดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน (Division of Labors)
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierachy)
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment) The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection) การคัดเลือกคนจะต้องมีการนำเอากฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการคัดเลือก เพื่อให้ได้คนงานที่มี ทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training) จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation) ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน
การนำไปใช้ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific management)" นี้เจ้าของทฤษฎีเห็นว่า สามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของทฤษฎีนี้ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับ ผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่อง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์ แต่แนวคิดของทฤษฎีดังกล่าวก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนา ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการบริหารการศึกษา เช่นเดียวกับวงการอื่น ๆ มากมาย เช่น ในการสอบคัดเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ มาเพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์กรหรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ในเรื่องของการให้ incentive ซึ่งจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มยอดขายของร้านบ้านใบกะเพรา เป็นต้น
นางสาว ศิฌาวี เรือนปัญจะ (12590078)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน (Division of Labors) 2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierachy) 3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment) The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection) การคัดเลือกคนจะต้องมีการนำเอากฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการคัดเลือก เพื่อให้ได้คนงานที่มี ทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training) จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation) ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน
การนำไปใช้ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific management)" นี้เจ้าของทฤษฎีเห็นว่า สามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของทฤษฎีนี้ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับ ผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่อง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ(Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์ แต่แนวคิดของทฤษฎีดังกล่าวก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนา ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการบริหารการศึกษา เช่นเดียวกับวงการอื่น ๆ มากมาย เช่น ในการสอบคัดเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ มาเพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์กรหรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ในเรื่องของการให้incentive ซึ่งจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มยอดขายของร้านบ้านใบกะเพรา เป็นต้น
(นางสาวภัทรานิษฐ์ กุญแจทอง 12590059)
ผู้ริเริ่มในการนำแนวคิดทางวิทยาสตร์มาใช้ในการจัดการคือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ 1890 (บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์)
ตอบลบอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้วิธีที่ดีที่สุด (One Best Way) คือ จากการทดลองเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน Ex.วิธีทำไข่เขียว ทำอย่างไรให้อร่อยที่สุด
หลักการจัดการ 4 ประการ
- คิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
- จัดหมวดหมู่งาน และ แบ่งความรับผิดชอบให้เหมาะสม
คือ งานที่เหมือนกันควรอยู่ในหมวดเดียวกันเพราะจะได้ใช้คนที่
มีความรู้ความสามารถที่เฉพาะทางจริงๆ
-คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่
กำหนด
-ฝ่ายบริหารประสานงานทำความเข้าใจกับคนงานอย่างใกล้ชิด
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
แนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการการทำงานแบบมีระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก็คือ “กฎระเบียบ” นำมาใช้กับการปฎิบัติงาน มีการศึกษาเหตุและผล เก็บข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดในการทำงานั้นๆ เริ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นแรงงานจากเครื่องจักร ทฤษฎีในยุคนี้จะมุ่งเน้นไปยังเป้าหมาย ผลสำเร็จ ที่มาจากการจัดการทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
(นางสาวณัฎฐา กมลศิลป์ 12590018)
ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
ตอบลบเทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
นาย ดนุสรณ์ เลิศเศรษฐี 12590028
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ท และเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบมีหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” ในการทำงานนั้น
2.แบ่งงานและความรับผิดชอบให้เหมาะสมระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน โดยฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการวางแผนวิธีการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ และพนักงานมีหน้าที่ทำตามแผนที่วางไว้
3.คัดเลือกพนักงานตามหลักการและฝึกอบรมให้พนักงานทำงานตามหลักการที่วางไว้
4.ฝ่ายบริหารประสานกับพนักงานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าพนักงานได้ทำงานตามวิธีการทำงานที่ดีที่สุด
ผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน (อังคณา พิทักษ์สุข 12590104)
3. Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
ตอบลบ(อรณิชา ศรีสมัย 12590102)
3.-ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์
ตอบลบ-หลักการที่ในการจัดการ
1.ในการทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาตร์ในการคิดค้นและกำหนด "วิธีที่ดีที่สุด" สำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำกนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
-ผลงานที่ได้มาจากแนวคิดนี้ คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานในโรงงานส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวอรวี ศรีวิโน 12590103)
Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
ตอบลบTaylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ
1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น
2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน
4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
(วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบFrederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ
The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(น.ส.สุชานรี เวียนมานะ 12590089)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ : เป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน และเทย์เลอร์ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ เป็น 4 ประการดังนี้
ตอบลบ1. การค้นหาวิธีที่ดีที่สุด
2. การจัดหมวดหมู่
3. การคัดเลือกคนงานให้เหมาะสม
4. การให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงาน คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการใช้วิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ได้แก่ ความเหมาะสมของอุปกรณ์ การแบ่งงานของคนงาน เป็นต้น
(นางสาวกชกร เดชกำแหง 12590001)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบการจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการการทำงานแบบมีระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งก็คือ “กฎระเบียบ” นำมาใช้กับการปฎิบัติงาน มีการศึกษาเหตุและผล เก็บข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดในการทำงานั้นๆ เริ่มเกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นแรงงานจากเครื่องจักร ทฤษฎีในยุคนี้จะมุ่งเน้นไปยังเป้าหมาย ผลสำเร็จ ที่มาจากการจัดการทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตอบลบนักทฤษฎีและแนวความคิดที่โดดเด่น
Frederic Winslow Taylor (เฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์) : บุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุคและถือเป็นผู้เริ่มต้นสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการเลยก็ว่าได้ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Principle of Scientific Management)” ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่นำแนวความคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) มาใช้กับระบบอุตสาหกรรม เขาตั้งใจชี้ให้เห็นว่าการจัดการในรูปแบบนี้ดีกว่าการจัดการในรูปแบบเดิมอย่าง Rule of Thumb ที่ไม่มีรูปแบบชัดเจนดั่งในอดีตที่ผ่านมา โดยเขาได้เริ่มศึกษาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโรงงานอุตสหากรรมหลอมเหล็กที่เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการบริหารงานไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง Taylor ได้นำเอาวิธีการต่างๆ มาใช้ ตั้งแต่ การฝึกอบรมให้พนักงานใช้อุปกรณ์, การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน, ตลอดจนการใช้วิธีจ่ายค่าแรงตามรายชิ้น ซึ่งทำให้โรงงานนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัวเลยทีเดียว สำหรับแนวความคิดตามรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต
Max Weber (แม็กซ์ เวเบอร์) : ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าตำรับระบบราชการ (Bureaucracy) โดยเขาได้ทำการศึกษาระบบโครงสร้างขององค์กรขนาดใหญ่มากมายในยุคนั้น แล้วนำเสนอการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ขึ้นมาในปี ค.ศ.1911 โดยมีการกำหนดโครงสร้างตลอดจนการบริหารงานที่ชัดเจน โดยมีองค์ประกอบ 7 ประการ ดังนี้
หลักลำดับขั้น (hierarchy)
หลักความสำนึกแห่งความรับผิดชอบ (responsibility)
หลักแห่งความสมเหตุสมผล (rationality)
หลักการมุ่งสู่ผลสำเร็จ (achievement orientation)
หลักการทำให้เกิดความแตกต่างหรือการมีความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization)
หลักระเบียบวินัย (discipline)
ความเป็นวิชาชีพ (Professionalization)
(นางสาวณัฐพร ทองปลิว 12590024)
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวและคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
ตอบลบ(นางสาวศศิประภา ผาดศรี 12590075)
ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
ตอบลบเทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงของเทเลอร์ คือ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงาน คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวจุฬาลักษณ์ สกุลวงวาร 12590010)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบFrederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
• การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
(นางสาวบุญธิดา กะตะศิลา 12590043)
⭐️ผู้บุกเบิกแนวคิดและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงานคือ FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management)
ตอบลบ⭐️โดยใช้หลัก 4 หลักการ
1.ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
2.มีการเลือกคนให้เหมาะสม
3.มีกระบวนการพัฒนาคน
4.สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
⭐️ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงคือ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงาน คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
#นางสาววชิราพร คำกอง 12590068
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์
ตอบลบ-หลักการที่ในการจัดการ
1.ในการทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาตร์ในการคิดค้นและกำหนด "วิธีที่ดีที่สุด" สำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำกนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
-ผลงานที่ได้มาจากแนวคิดนี้ คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานในโรงงานส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นายธีรภัทร์ จำปาเรือง 12590039)
เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานโดยอาศัยวิธีการที่ได้จากการศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ มีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลอง แล้วจึงวัดผลการทดลองในกรณีต่างๆ ทำการทดลองตามกระบวนการซ้ำแล้วซ้ำอีกจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กระทั่งสามารถค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานในโรงงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการใช้ วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวแล้คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
จากความสำเร็จในการศึกษาค้นคว้าทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธภาพในการทำงานโดยอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เทย์เลอร์จึงกำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา คือ
1.กำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2.ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม
3.คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4.ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆ อย่างใกล้ชิด
(นายสัจจะ ปฎิบัติดี 12590081)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ
1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น
2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน
4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
(นายวัชระ จริยสุขสกุล 12590071)
การจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวคิดของเทเลอร์ สรุปออกมาเป็นหลักการสำคัญและเกี่ยวข้องได้ 4 ประการ ดังนี้
ตอบลบ1.1 หลักการวิเคราะห์งานตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific of Analysis) จากการสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวัดอย่างรอบคอบ ฝ่ายจัดการจะกำหนดวิธีที่ดีที่สุด (On Best Way) ของการปฏิบัติในแต่ละงานไว้ แล้วฝึกผู้ทำงานให้ทำได้ตามนั้น การวิเคราะห์เช่นนี้แทนวิธีการแบบลองผิดลองถูก
1.2 หลักการคัดเลือกบุคลากร (Selection of Personnel) เมื่อวิเคราะห์แต่ละงานแล้ว หลักต่อไปจะต้องคัดเลือกผู้มาปฏิบัติงานหรือผู้ทำงาน แล้วฝึกอบรม สอน และพัฒนาผู้ทำงานเหล่านั้น
1.3 หลักการความร่วมมือของฝ่ายจัดการ (Management Cooperation) ฝ่ายการผู้จัดการควรร่วมมือกับผู้ทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่างานทั้งหมดที่กำลังทำอยู่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว และมีมาตรฐานและวิธีการตามที่กำหนดไว้ของฝ่ายการจัดการ
1.4 หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างผู้จัดการกับผู้ทำงาน (Division of Work Between Managers and Workers) เทเลอร์ยอมรับในการแบ่งงานกันทำ (Division of Work) โดยมีการแบ่งงานระหว่างผู้จัดการและผู้ทำงาน เพื่อให้ผู้จัดการรับผิดชอบการวางแผน (Planning) และการเตรียมงาน (Perparing Work) และรับผิดชอบการควบคุมดูแล (Supervising) ส่วนผู้ทำงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานของตน
(มณฑล น้ำแก้ว 12590065)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ Frederick Winslow Taylor
ตอบลบ- หลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1. ในการทำงานแต่ละงานให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดคนและกำหนด
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสมพร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
- ผลงานคือการจัดการผลผลิตในการคนเล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็กโดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการคนเล็กทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการคนแต่ละครั้งการฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงานการแต่งงานของคนงานออกเป็นส่วนส่วนให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้านตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้นส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการคนเล็กเทอมขึ้นเกือบ4เท่าตัว
( นางสาวสิตานัน หรุ่นทอง12590082)
Frederick Winslow Taylor เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
โดยกำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
(ภิตติมาตุ์ เอื้ออรุณชัย 12590062)
ตอบลบ-ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915)
เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
-หลักการในการบริหารจัดการ มี 4 ประการ
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
-ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(ปาลิตา มนัสปัญญากุล 12590049)
3.ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือใคร มีหลักการอย่างไร และจงยกตัวอย่างผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
ตอบลบผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
เทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
(นางสาวสิริกร ราชมณี 12590084)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบ-Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
-Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
-Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
-Taylor กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
(นางสาวเอเซีย พิทยาพละ 12590112)
Frederick Winslow Taylor
ตอบลบการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
• การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
• ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือ การจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และ คนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นางสาวชุติกาญจน์ ปานดารา 12590016)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล
Taylor ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา 4 ประการ คือ
1. พัฒนาวิธีการทำงานทีดีที่สุด (One best way) สำหรับงานแต่ละชิ้น
2. ต้องมีการคัดเลือก อบรม ให้คนเข้าใจในงาน และคนต้องเหมาะสมกับงาน
3. ต้องมีการจูงใจอย่างเหมาะสมตามหลักของ Taylor คือ จ่ายค่าตอบแทนตามสัดส่วนของงาน
4. แบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่าฝ่ายจัดการกับคนงานอย่างเท่าเทียมกัน
(นางสาวพัชรา จูเอี่ยม 12590054)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
ตอบลบเทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงของเทย์เลอร์ คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(เบญญาภา กรีรถ 12590044)
Frederic W.Taylor
ตอบลบทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
FredericW.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (The Father of Scientific Management) โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ คือ กฎระเบียบ วิธีการในทำงาน มาตรฐานการทำงานที่องค์การจะนำมาใช้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยมีการสังเกต จับเวลา จดบันทึกวิเคราะห์วิจัยมาแล้วอย่างดีว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว สามารถนำมาใช้ในการทำงานนั้นๆ ได้อย่างดี ซึ่งแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากจัดการบริการธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบคนงานแต่ละคนเสมือนเครื่องจักร ที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต และมีประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุด โดยมีหลักการสำคัญ คือการสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
แนวคิดทฤษฎีได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในวงการบริหารการศึกษา เช่น ในการสอบคัดเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ มาเพื่อให้ตรงกับความต้องการขององค์กรหรือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ในเรื่องของการให้ incentive ซึ่งจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มยอดขายของร้านบ้านใบกะเพรา เป็นต้น
(นายธนสิทธิ์ อาจอ่อนศรี 12590036)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ท และเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบมีหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” ในการทำงานนั้น
2.แบ่งงานและความรับผิดชอบให้เหมาะสมระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน โดยฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการวางแผนวิธีการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ และพนักงานมีหน้าที่ทำตามแผนที่วางไว้
3.คัดเลือกพนักงานตามหลักการและฝึกอบรมให้พนักงานทำงานตามหลักการที่วางไว้
4.ฝ่ายบริหารประสานกับพนักงานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าพนักงานได้ทำงานตามวิธีการทำงานที่ดีที่สุด
ผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(นายอัษฎาวุธ เขตเจริญ 12590106)
ตอบลบผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ได้แก่
1. คิดค้นและกำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2. จัดหมวดหมู่และแบ่งงานให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงาน
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ในกับคนงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดเวลาวิธีการจ่ายค่าตอบแทน
(วิลาสินี เกตุแก้ว12590073)
3.ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือใคร มีหลักการอย่างไร และจงยกตัวอย่างผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
ตอบลบ: ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856 เทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
โดยผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Frederick Winslow Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้านและผลงานมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(ศศิมา ปานชงค์ 12590077)
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(นางสาว ชนาวาส บัววงค์ 12590013)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทเลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ค.ศ. 1856 – 1915 หลักการที่สำคัญ (1) ต้องสร้างหลักการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (2) มีการเลือกคนให้เหมาะสม (3) มีกระบวนการพัฒนาคน (4)สร้าง Friendly Cooperation ให้เกิดขึ้น
ตอบลบข้อเสีย การบริหารจัดการแบบวิทยศาสต์ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบที่เป็นมนุษย์ ทำให้ขาดความไว้วางใจผู้บริหาร การนำไปใช้ ตามทฤษฎี "การจัดการอย่างมีหลักการ (Scientific Management)" นี้ Taylor เห็นว่าสามารถนำไปใช้ได้กับขั้นตอนการปฏิบัติงานทุกประเภท อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติความคิดเกี่ยวกับวิทยาการจัดการของ Taylor ได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เช่น นักบริหารระดับผู้จัดการ หัวหน้างานที่ไม่มีความรู้/ ความคิดที่ Taylor ให้การยกย่องผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Specialist) ส่วนสหภาพแรงงานก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่า Taylor มองคนเหมือนหุ่นยนต์
นายธรรศธรรม จำปาทอง 12590790
Frederick Winslow Taylor
ตอบลบเป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
Taylor กำหนดหลักการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ 4 ข้อคือ
1. พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน แทนการทำงานแบบความเคยชินที่ไม่มีระบบงาน การวางมาตรฐาน (Standardization) ในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากการทำงานทุกอย่างต้องเข้าสู่ระบบมาตรฐานตั้งแต่ วิธีการทำงาน ปริมาณงานที่ทำ เวลาการทำงาน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด เน้นเรื่องวิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way)
2. ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายคนงานจะได้รับ จะขึ้นอยู่กับการทำงานของแต่ละคน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องทำงานให้มีผลผลิตสูงสุดเท่าที่จะทำได้ หลักการคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องพิจารณาทั้งด้านความรู้ความสามารถและความกระตือรือร้น ในการทำงานเป็นสำคัญดังนั้นการคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องไม่มองเฉพาะจุดของการคัดเลือกเท่านั้น ต้องมองไปถึงอนาคตด้วย ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ทักษะ ความรู้ความสามารถความชำนาญงานที่บุคคลแสดงออกมาในขณะทำการทดสอบงาน หรือบุคลิกลักษณะไหวพริบ ความเฉลียวฉลาด ความกระตือรือร้นในการทำงานที่สามารถสังเกตได้จากการสัมภาษณ์
3. ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด (Develop person) เพื่อให้ทุกคนทำงานได้อย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ต้องทำควบคู่ไปกับการทำงานในข้อ 2 เมื่อรับบุคคลเข้าทำงานแล้วต้องมีการฝึกอบรม สอนงานให้แต่ละคนทำงานอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและวิธีการในการที่องค์การกำหนดไว้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้ผู้ที่ทำงานสามารถทำงานที่องค์การกำหนดไว้ได้อย่างดี และมีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ในอนาคตด้วย แนวความคิดของ Taylor เกิดจากความเชื่อที่ว่า หัวหน้างานแต่ละคนเป็นผู้นำที่มีความชำนาญทางการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นหัวหน้างานคนหนึ่งจึงไม่สามารถกำกับควบคุมการทำงานทุกอย่าง จึงได้เสนอให้จำกัดอำนาจหน้าที่ของหัวหน้างานแต่ละคน ให้ทำงานที่เขามีความชำนาญเพียงอย่างเดียว
4. สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ (Friendly Cooperation) โดยต่างฝ่ายต่างต้องเห็นใจซึ่งกันและกันคือ ฝ่ายบริหารต้องมีความเห็นใจคนงาน โดยมอบหมายงานให้แก่คนงานในปริมาณและมาตรฐานของงานที่จะให้คนงานทำในแต่ละวัน ควรมีปริมาณที่เหมาะสมไม่หนักเกินไป ฝ่ายบริหารต้องให้รางวัลพิเศษแก่คนงานที่ทำงานดีเด่นและสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ด้วย ฝ่ายจัดการต้องคอยเอาใจใส่สอนคนงานให้ทำงานในแต่ละขั้นตอนของงานอย่างถูกวิธี โดยจัดให้มีหัวหน้างานคอยสอนงานดูแล แนะนำคนงานให้ทำงานอย่างถูกต้อง และฝ่ายจัดการต้องเปิดโอกาสให้คนงานได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการทำงานที่ทำ และนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไปโดยใช้การวิเคราะห์ทดลองตามหลักวิทยาศาสตร์
นางสาวหมายขวัญ นวลอุไร 12590099
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
• การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
• ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ (ชัชญาณ์ณัฐ ภูวิศภัทรนนท์ 12590110)
ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือFrederick Winslow Taylor
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(พัชมน มนต์วิมลพร 053)
ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบFrederic W.Taylor ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ โดยเป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทนจารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทำงาน โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการคิดค้นการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั่นคือ การสร้างหลักการบริหารต้องทำอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยเทคนิคหรือวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกำหนดเป็น One best Way เพื่อให้เกิดวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ Time and Motion Study เวลาและการเคลื่อนไหว เพื่อให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์บรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดที่ดีที่สุดก็คือ แบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างจะต้องรับผิดชอบต่อระดับบน โดย Taylor เสนอระบบการจ้างงานโดยการสร้างแรงจูงใจ
ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ
1.การแบ่งงาน
2.การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน
3.การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ
The one best way คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับ
-เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุดเพื่อให้ได้คนงานที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
-ฝึกอบรมคนงานให้ถูกวิธี จะต้องมีการพัฒนาคนงานโดยการสอนวิธีการทำงานให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะขจัดวิธีการทำงานตามหลักความเคยชินให้หมดไป
-หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
นางสาวภัทราพร ผังรักษ์ 12590061
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
• การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
• ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
นางสาว ดวงหทัย โฉมมา 12590029
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
• การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
• ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
(นายชินวัตร พิพัฒน์พงศานนท์ 12590015)
ผู้ริเริ่มแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
ตอบลบคือ Frederick Winslow Taylor
โดยมีหลักการ ดังนี้
เหตุผลที่ใช้การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
• มีกระบวนการในการพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงาน โดยคิดและวิเคราะห์จากการเก็บข้อมูลจริง ทำให้สามารถออกแบบกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เช่น การศึกษาวิธีการเคลื่อนไหวของคนงานและเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติ (time and motion study)
• เนื่องจากกระบวนการวิทยาศาสตร์มีขั้นมีตอนที่ชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้จึงนำมาสู่การสร้างมาตรฐานการทำงาน
• การพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานทำสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือลดลง
ตัวอย่างผลงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว (น.ส.ณัฐรี เต่าแก้ว 12590026)
คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor : ค.ศ. 1856 - 1915) การจัดการผลผลิตในโรงงานหลอมเหล็ก โดยค้นคว้าวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสม การฝึกอบรม การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานมีความชำนาญเฉพาะด้านทส่งผลให้การขนเหล็กเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 60ดอลต่อวัน
ตอบลบ(ณัฐนพิน ชินวัฒนา 12590021)
Frederick Winslow Taylor (March 20, 1856 – March 21, 1915) เป็นผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้น โดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด
ทั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการทำงานที่อยู่บนการตัดสินใจจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ต่างจากอดีตที่อาศัยประสบการณ์หรือRule of Thumb
องค์ประกอบของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
1.พัฒนาหลักการแบบวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานในการทำงาน
2.ต้องมีการคัดเลือกคนตามหลักการวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน
3.ต้องพัฒนาบุคคลแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.สร้างความร่วมมือในการทำงานอย่างฉันท์มิตรให้เกิดขึ้นในองค์การ
(สิทธิชัย พ่อค้าเรือ 12590083)
ผู้ริเริ่มแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
ตอบลบคือ Frederick Winslow Taylor
โดยมีหลักการ ดังนี้
เหตุผลที่ใช้การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
• มีกระบวนการในการพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงาน โดยคิดและวิเคราะห์จากการเก็บข้อมูลจริง ทำให้สามารถออกแบบกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เช่น การศึกษาวิธีการเคลื่อนไหวของคนงานและเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติ (time and motion study)
• เนื่องจากกระบวนการวิทยาศาสตร์มีขั้นมีตอนที่ชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้จึงนำมาสู่การสร้างมาตรฐานการทำงาน
• การพัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานทำสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือลดลง
ตัวอย่างผลงาน
ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานที่มีชื่อเสียงของ Taylor คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว
(พงศธร ศิริสมบูรณ์ 12590052)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ท และเป็นบิดาแห่งการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบลบมีหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1.การทำงานแต่ละงาน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” ในการทำงานนั้น
2.แบ่งงานและความรับผิดชอบให้เหมาะสมระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน โดยฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการวางแผนวิธีการทำงานตามหลักวิทยาศาสตร์ และพนักงานมีหน้าที่ทำตามแผนที่วางไว้
3.คัดเลือกพนักงานตามหลักการและฝึกอบรมให้พนักงานทำงานตามหลักการที่วางไว้
4.ฝ่ายบริหารประสานกับพนักงานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าพนักงานได้ทำงานตามวิธีการทำงานที่ดีที่สุด
ผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(ธนพล โชครัตน์ประภา 12590033)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ท
ตอบลบมีหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิดที่สุด
ผลงานจากแนวคิดนี้ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการ
คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ในการขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานแต่ละคนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(คณภัทร์ ศิริโยธิน 12590108)
ผู้ค้นพบการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน จนได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการตัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor ) ใน ค.ศ. 1856
ตอบลบเทเลอร์ กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ดังนี้
1. การทำงานในแต่ละวัน ให้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคิดค้นและกำหนด “วิธีที่ดีที่สุด” สำหรับงานนั้น
2. ให้จัดหมวดหมู่ในการทำงานให้เหมาะสม พร้อมแบ่งงานและความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงานอย่างเหมาะสม
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างผลงานที่มีชื่อเสียงของเทเลอร์ คือ ผลงานพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงาน คือการจัดการผลผลิตในการขนเหล็กของคนงานโรงงานหลอมเหล็ก โดยการค้นคว้าหาวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ที่ใช้ขนแต่ละครั้ง การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ให้แก่คนงาน การแบ่งงานของคนงานออกเป็นส่วนๆให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดจนจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยในการขนเหล็กเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว และคนงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 60 ต่อวัน
(ธนกฤติ สาสนทาญาติ)
ผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริก วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) ได้กำหนดหลักการที่สำคัญในการจัดการ 4 ประการ ได้แก่
ตอบลบ1. คิดค้นและกำหนดวิธีที่ดีที่สุดสำหรับงานนั้น
2. จัดหมวดหมู่และแบ่งงานให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายบริหารและคนงาน
3. คัดเลือกคนงานที่เหมาะสมแล้วฝึกอบรมและพัฒนาตามวิธีการที่กำหนด
4. ให้ฝ่ายบริหารประสานงานและทำความเข้าใจกับคนงานในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าวิธีที่ดีที่สุดในการขนเหล็ก ทั้งในด้านความเหมาะสมของอุปกรณ์ การฝึกอบรมวิธีการใช้อุปกรณ์ในกับคนงาน การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตลอดเวลาวิธีการจ่ายค่าตอบแทน
(สมภพ ขุนทรง 12590079)