วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562


5.จงอธิบายแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์โดยใช้ผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์นเป็นแนวทาง

74 ความคิดเห็น:

  1. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
    หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    (นางสาว สรัสนันท์ บุญมี 12590080)

    ตอบลบ
  2. แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) เกิดขึ้นใกล้เคียงกับแนวคิดการจัดการเชิงวิทยา ศาสตร์และแนวคิดการจัดการเชิงบริหาร กล่าวคือ แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้น จากการที่นักวิชาการและนักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการ ค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองกลับปรากฏว่า ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ เงิน แสงสว่าง และระยะเวลาหยุดพัก มิได้แปรผันตรงกับผลผลิต แต่กลับมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงความ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงาน ตลอดจนเป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงานของคนงานการค้นพบดังกล่าว เป็นเครื่องกระตุ้นให้นักวิชาการและนัก คิดให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ในระยะเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก
    (นางสาว ณัฐฐา จินตกวีพันธุ์ 12590020)

    ตอบลบ
  3. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    (นายนภนต์ เจียรนัย 12590040)

    ตอบลบ
  4. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงานผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่นๆเช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงานพบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่างๆแต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นางสาวอัมรินทร์ เกมอ 12590105)

    ตอบลบ
  5. จอร์จ อี เมโย เป็นบุคคลสำคัญต่อการพัฒนาแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavior Management Approach )และการทดลองที่ฮอร์ธอร์น ของเมโยสามารถอธิบายแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ได้ดังนี้
    การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เริ่มแรกเพียงเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับของแสงสว่างในสถานที่ทำงานกับผลผลิตของคนงาน ผลการทดลองจึงสรุปได้ว่า ปัจจัยการผลิตไม่ได้มีแค่ ค่าแรง แสงสว่าง และระยะเวลาการหยุดพัก ปริมาณผลผลิตของคนงานยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของคนงาน การแบ่งกลุ่มการทำงาน การสื่อสารระหว่างหัวหน้างานและคนงาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนงานด้วยกันรวมไปถึงความคาดหวัง เป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงาน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จึงเรียกว่า “ปัจจัยเชิงพฤติกรรม”
    สรุป แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เป็นแนวคิดที่ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกของคนเป็นหลัก
    (นางสาวปรมาพร สิงขรรัตน์ 12590046)

    ตอบลบ
  6. เอลตัน  เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์  มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    ( ชนกนาฎ สหทรัพย์เจริญ 12590012)

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ1 สิงหาคม 2562 เวลา 05:14

    5.จงอธิบายแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์โดยใช้ผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์นเป็นแนวทาง
    -เอลตัน  เมโย (Elton Mayo) เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น ตามหลักของทฤษฎีที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก

    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงานผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้

    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่นๆเช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง

    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงานพบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน

    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่างๆแต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม

    สรุปผลการทดลอง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน ได้แก่ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงาน ตลอดจนเป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    (อภิษฐา เนียมศิริ 12590101)

    ตอบลบ
  8. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ฮิวโก มินส์เตอร์เบิร์ก ( Hugo Minsterberg)ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จิตวิทยาและประสิทธิภาพอุตสาหกรรม คือ วิธีการค้นหาบุคคลที่มีสภาพทางจิตใจที่ดีที่สุด เพื่อบรรจุลงในตำแหน่งงานที่เหมาะสม และลักษณะสภาพทางจิตวิทยาที่ทำให้บุคคลพึงพอใจมากที่สุดจากการทำงานจะช่วยให้เกิดผลผลิตที่น่าพึงพอใจสูงที่สุดและมากที่สุด
    ในกรณีศึกษาของ Hawthorne
    Elton George Mayo(1880-1949)ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานผลการศึกษา 1. แสงสว่างมีความสัมพันธ์กับผลผลิต 2. กลุ่มมีความสัมพันธ์ต่อผลการปฏิบัติงาน และ3. ระบบสังคมหรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานมีผลต่องาน
    สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    สรุป แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เป็นแนวคิดที่ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความรู้สึกและความคาดหวัง เป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกของคนเป็นหลัก (นางสาว ปวีณา เกตุแย้ม 12590047)

    ตอบลบ
  9. นักวิชาการและนักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคนงาน พบว่านอกจากปัจจัยการผลิตอื่นๆเช่น เงิน แสงสว่าง ระยะเวลาหยุดพัก ที่มีปัจจัยต่อการทำงานของคนงาน ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงานอีกคือ ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ หมายความถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกองค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงานด้วย จากการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น ของเมโย เป็นการศึกษาที่ทดลองแสงสว่างในสถานที่ทำงานกับคนงาน พบว่าถึงแสงสว่างในการทำงานจะน้อยลงก็ไม่ส่งผลกระทบให้กับจำนวนผลผลิต แต่มีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตของคนงาน ทั้งระยะเวลาการหยุดพักของคนงาน ความรู้สึกของคนงานว่ากำลังอยู่ในการทดลอง การสื่อสารระหว่างหัวหน้างานและคนงาน แรงจูงใจการทำงาน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ รวมเรียกว่า ปัจจัยเชิงพฤติกรรม
    (นางสาวณัฐนรี สีทองสุก 12590022)

    ตอบลบ
  10. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ธอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม

    (นางสาวสุรีรัตน์ สระเกตุ 12590098)

    ตอบลบ
  11. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ผลทดลองการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นางสาวกรกนก จันทร์พันธุ์ 12590003)

    ตอบลบ
  12. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (อารียา ปานทอง 12590109 )

    ตอบลบ
  13. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
    จอร์จ อี. เมโย จัดว่าได้เป็นการศึกษาที่มีอิทธิพลและวางรากฐานการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในเวลาต่อมา มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับของแสงสว่างในสถานที่ทำงานกับผลผลิตของคนงาน ผู้วิจัยตั้งสมมุติฐานว่าปริมาณผลผลิตจากกลุ่มทดลองควรลดลงตามระดับแสงสว่างที่น้อยลง ขณะที่กลุ่มควบคุมควรมีปริมาณผลผลิตคงที่ตามระดับแสงสว่างที่คงที่ แต่ผลออกมาตรงกันข้าม
    สรุปผล ว่ามีปัจจัยอื่นนอกจากระดับแสงสว่างที่มีผลต่อปริมาญผลผลิตของคนงาน เพื่อค้นหาปัจจัยอื่นที่มีผลต่อปริมาณผลผลิตของคนงานจึงทดลองอีกครั้ง จนได้ข้อสรุป นอกจากปัจจัยการผลิตตามปกติได้แก่ ค่าแรง แสงสว่าง ระยะเวลาพัก แล้ว ยังขึ้นอยู่กับป้จจัยอื่นๆด้วย ปัจจัยเหล่านั้นรวมถึง ความรู้สึกของคนงานว่ากำลังอยู่ในการทดลอง
    น.ส.วราภรณ์ ขันสมบัติ 12590069

    ตอบลบ
  14. แนวคิดพฤติกรรมศาสตร์ เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นในการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาทฤษฏีความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การที่จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารสำหรับผู้จัดการในการดูแลบริหารพนักงานต่อไป แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่พยายามค้นคว้าศึกษาถึงหลักการธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมมนุษย์เมื่อทำงานร่วมกันกับผู้อื่น รวมทั้งสิ่งที่จะสามารถใช้จูงใจมนุษย์ในการทำงาน และพัฒนาออกมาเป็นทฤษฏีต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้เป็นแนวทางในการจัดการ
    จากผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์น สรุปเป็นแนวความคิดได้ว่า ปัจจัยด้านปทัสถานทางสังคม เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตไม่ใช้ปัจจัยด้านกายภาพ ความคิดที่ว่าคนเห็นแก่ตัว ต้องการเงินค่าตอบแทนมากๆเป็นการมองแค่ภาพมุมแคบ และพฤติกรรมของคนงานถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ภายในกลุ่มสนับสนุนให้มีการทำวิจัยด้านผู้นำต่างๆ ผู้นำต้องเปิดโอกาสให้คนในองค์การเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    (ปิยาภรณ์ ชินวงค์พรหม 12590051)

    ตอบลบ
  15. เอลตัน  เมโย (Elton Mayo) เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น ตามหลักของทฤษฎีที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    1.ระยะแรก ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงานผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่นๆเช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงานพบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่างๆแต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    น.ส.อภัสสร ปูชนียกุล 12590100

    ตอบลบ
  16. 5
    ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย, อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลายๆครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองครั้งนี้เมโยได้ข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ในการทำงาน ดังนี้ ปัจจัยทางด้านกายภาพ หรือวิธีการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิต ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิต คือ ปัจจัยทางด้านสังคม (1) พฤติกรรมการทำงานของคนงานถูกกำหนดโดยระบบการให้รางวัล และการลงโทษทางสังคม ไม่ใช่ระบบการให้รางวัลและการลงโทษทางเศรษฐกิจ (2) ผู้นำของกลุ่มที่เป็นทางการ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการจะมีบทบาทในการบังคับใช้และสร้างปทัสถานของกลุ่มที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ(3) กลุ่มจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล (4) ควรที่จะมีการแสวงหาภาวะผู้นำแบบต่างๆ เพื่อให้ได้ผู้นำที่เหมาะสมกับภารกิจขององค์การอย่างแท้จริง ทั้งนี้เนื่องจากภารกิจขององค์การ แต่ละองค์การจะมีความแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งองค์การ
    จากผลการศึกษาดังกล่าว จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพของงานจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับขวัญกำลังใจ ความพึงพอใจ ความพร้อมทางสภาพจิตใจ ที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมในการทำงานของคนงาน รวมถึงเรื่องราวทางสังคมของคนงานในกลุ่มด้วย เอลตัน เมโย เป็นผู้ที่จุดประกายในการนำเอาความรู้ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์มาใช้ในการบริหารงานอย่างจริงจัง
    (สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์ 12590954)

    ตอบลบ
  17. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)

    ภาพที่ 3.3 การสัมภาษณ์คน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    สุภัทษา สนธิช่วย 12590096

    ตอบลบ
  18. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) เกิดขึ้นใกล้เคียงกับเเนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เเละเเนวคิดการจัดการเชิงบริหาร คือ การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้นจากการที่นักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลักในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    นางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086

    ตอบลบ
  19. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ
    ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้

    (ณัฐชัญญา ปรินจิตต์ 12590896)

    ตอบลบ
  20. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัดปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (ศุภิสรา นรินยา 12590717)

    ตอบลบ
  21. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นผู้ที่ท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ในการบริหารงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (น.ส.ศศิพิมพ์ ชัยกุลพัฒนา 1259OO76)

    ตอบลบ
  22. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    (นาย​สุกั​ลย์​ จันทร์​ตรี​ 12590087)​

    ตอบลบ
  23. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ นักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน และเอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองครั้งนี้เมโยได้ข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ในการทำงาน ดังนี้
    1.ปัจจัยทางด้านกายภาพ หรือวิธีการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิต ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิต คือ ปัจจัยทางด้านสังคม
    2.พฤติกรรมการทำงานของคนงานถูกกำหนดโดยระบบการให้รางวัล และการลงโทษทางสังคม ไม่ใช่ระบบการให้รางวัลและการลงโทษทางเศรษฐกิจ
    3.ผู้นำของกลุ่มที่เป็นทางการ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ จะมีบทบาทในการบังคับใช้และสร้างปทัสถานของกลุ่มที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ
    4.กลุ่มจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล
    5.ควรที่จะมีการแสวงหาภาวะผู้นำแบบต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผู้นำที่เหมาะสมกับภารกิจขององค์การอย่างแท้จริง
    (ณัฐฌา ปักกัง 12590019)

    ตอบลบ
  24. 5.จงอธิบายแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์โดยใช้ผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์นเป็นแนวทาง
    ตอบ : แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้นจากการที่นักวิชาการและนักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองกลับปรากฎว่า ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ เงิน แสงสว่าง และระยะเวลาหยุดพัก มิได้แปรผันตรงกับผลผลิต แต่กลับมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกองค์กร ความรู้สึกความคาดหวังของคนงาน ตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน การค้นพบดังกล่าว เป็นเครื่องกระตุ้นให้นักวิชาการและนักคิดให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในระยะเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก
    จากการศึกษาที่ฮอร์ธอร์น โดย จอร์จ อี. เมโย ผู้วิจัยแบ่งคนงานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองจะได้รับแสงสว่างในสถานที่ทำงานลดลงเรื่อยๆ ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับแสงสว่างในระดับคงที่ตลอดระยะเวลาทดลอง ผู้วิจัยตั้งสมมติฐานว่าปริมาณผลผลิตจากกลุ่มทดลองควรลดลงตามระดับแสงสว่างที่น้อยลง ขณะที่กลุ่มควบคุมควรมีปริมาณผลผลิตคงที่ตามระดับแสงสว่างที่คงที่ แต่ผลการทดลองปรากฎว่า แม้ระดับแสงสว่างของกลุ่มทดลองจะลดลง แต่ปริมาณผลผลิตกลับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปริมาณผลผลิตของกลุ่มควบคุมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เพิ่มในอัตราที่น้อยกว่ากลุ่มทดลอง
    ผู้วิจัยประหลาดใจกับผลการทดลองนี้อย่างมาก จึงทดลองซ้ำแต่ยังคงได้รับผลเช่นเดิม ผู้วิจัยศึกษษทดลองในอีกหลายลักษณะ จนได้ข้อสรุปว่า นอกจากปัจจัยการผลิตตามปกติแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วย ปัจจัยนั้นรวมถึง ความรู้สึกของคนงาน การแบ่งกลุ่มทำงาน การสื่อสารระหว่างหัวหน้างาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนงาน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ รวมเรียกว่า “ปัจจัยเชิงพฤติกรรม”
    นางสาวสุดารัตน์ สุขสาม (รหัส 12590090)

    ตอบลบ
  25. แนวคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    (น.ส.ดารารัตน์ ดาสาลี 12590030)

    ตอบลบ
  26. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) เกิดขึ้นใกล้เคียงกับเเนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เเละเเนวคิดการจัดการเชิงบริหาร คือ การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้นจากการที่นักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลักในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    นางสาวกุลปริยา แย้มเกษร 12590005

    ตอบลบ
  27. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)

    ภาพที่ 3.3 การสัมภาษณ์คน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    นางสาว ศิฌาวี เรือนปัญจะ (12590078)

    ตอบลบ
  28. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นางสาวภัทรานิษฐ์ กุญแจทอง 12590059)

    ตอบลบ
  29. ในหลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    รัญชริดา มะนุ่น 12590067

    ตอบลบ
  30. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
    หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นางสาวณัฎฐา กมลศิลป์ 12590018)

    ตอบลบ
  31. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    นาย ดนุสรณ์ เลิศเศรษฐี 12590028

    ตอบลบ
  32. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ฮิวโก มินส์เตอร์เบิร์ก ( Hugo Minsterberg)ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จิตวิทยาและประสิทธิภาพอุตสาหกรรม คือ วิธีการค้นหาบุคคลที่มีสภาพทางจิตใจที่ดีที่สุด เพื่อบรรจุลงในตำแหน่งงานที่เหมาะสม และลักษณะสภาพทางจิตวิทยาที่ทำให้บุคคลพึงพอใจมากที่สุดจากการทำงานจะช่วยให้เกิดผลผลิตที่น่าพึงพอใจสูงที่สุดและมากที่สุด
    ในกรณีศึกษาของ Hawthorne
    Elton George Mayo(1880-1949)ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานผลการศึกษา 1. แสงสว่างมีความสัมพันธ์กับผลผลิต 2. กลุ่มมีความสัมพันธ์ต่อผลการปฏิบัติงาน และ3. ระบบสังคมหรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานมีผลต่องาน
    สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    สรุป แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เป็นแนวคิดที่ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความรู้สึกและความคาดหวัง เป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกของคนเป็นหลัก (อังคณา พิทักษ์สุข 12590104)

    ตอบลบ
  33. 5. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (อรณิชา ศรีสมัย 12590102)

    ตอบลบ
  34. 5.แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ โดยอ้างอิงผลการทดลองจากการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น ของเมโย สรุปได้ว่าเป็นการศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม "มนุษย์" ซึ่งได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กรทั้งในระหว่างหัวหน้าและคนงาน หรือระหว่างคนงานด้วยกัน ความรู้สึกของคนงาน ความคาดหวัง เป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้รวมเรียกว่า "ปัจจัยเชิงพฤติกรรม"
    (นางสาวอรวี ศรีวิโน 12590103)

    ตอบลบ
  35. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ผลทดลองการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)

    ตอบลบ
  36. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ผลทดลองการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (น.ส.สุชานรี เวียนมานะ 12590089)

    ตอบลบ
  37. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)

    ภาพที่ 3.3 การสัมภาษณ์คน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นางสาวณัฐพร ทองปลิว 12590024)

    ตอบลบ
  38. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ธอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม

    (นางสาวจุฬาลักษณ์ สกุลวงวาร 12590010)

    ตอบลบ
  39. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลักดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นางสาวศศิประภา ผาดศรี 12590075)

    ตอบลบ
  40. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน
    (นางสาวบุญธิดา กะตะศิลา 12590043)

    ตอบลบ
  41. เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น ตามหลักของทฤษฎีที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    1.ระยะแรก ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงานผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่นๆเช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงานพบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่างๆแต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นายธีรภัทร์ จำปาเรือง 12590039)

    ตอบลบ
  42. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    #นางสาววชิราพร คำกอง

    ตอบลบ
  43. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ จะให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ การให้ความสำคัญกับความรู้สึก
    เอลตัน เมโย เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ในการบริหารงานในองค์กร
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นางสาวกชกร เดชกำแหง 12590001)

    ตอบลบ
  44. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    (นายวัชระ จริยสุขสกุล 12590071)

    ตอบลบ
  45. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นายสัจจะ ปฎิบัติดี 12590081)

    ตอบลบ
  46. เป็นการทดลองโดยใช้พื้นฐานทางมนุษย์สัมพันธ์และจิตวิทยาในโรงงานอุตสาหกรรม ได้ศึกษาสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่มีผลต่อการทำงานของคนงาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับปัจจัยทางกายภาพในการทำงาน การทดลองแบ่งออก 4 ระยะ
    ระยะที่ 1 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานในห้องทดลองที่มีแสงสว่างแตกต่างกัน
    ระยะที่ 2 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานในห้องทดลองที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน
    ระยะที่ 3 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานโดยการสัมภาษณ์
    ระยะที่ 4 การศึกพฤติกรรมของคนงานโดยการสังเกตการณ์

    ความคิดเห็น
    ทำให้นึกถึงคนที่ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆในโรงงานซึ่งผลของผลิตสินค้านั้นขึ้นอยู่กับคนส่วนรวมถ้ามีคนผลิตสินค้าได้น้อยก็จะถูกมองว่า เป็นคนขี้เกียจ แต่ถ้าผลิตสินค้าได้มากก็จะถูกผู้อื่นมองว่าเกินหน้าเกินตา จึงต้องลดหรือเพิ่มความสามารถให้เท่ากับผู้อื่น

    สรุป
    ในการทำงานของคนในกลุ่มใหญ่นั้นการผลิตจะขึ้นอยู่กับคนจำนวนมากเป็นส่วนใหญ่ซึ่งคนเรานั้นจะเห็นด้วยของเสียงส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องทำให้เหมือนกับคนอื่นๆ
    (มณฑล น้ำแก้ว 12590065)

    ตอบลบ
  47. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ภิตติมาตุ์ เอื้ออรุณชัย 12590062)

    ตอบลบ
  48. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    -ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นางสาวสิตานัน หรุ่นทอง 12590082)

    ตอบลบ

  49. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)

    ภาพที่ 3.3 การสัมภาษณ์คน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (ปาลิตา มนัสปัญญากุล 12590049)

    ตอบลบ
  50. แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) เกิดขึ้นใกล้เคียงกับแนวคิดการจัดการเชิงวิทยา ศาสตร์และแนวคิดการจัดการเชิงบริหาร กล่าวคือ แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้น จากการที่นักวิชาการและนักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการ ค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองกลับปรากฏว่า ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ เงิน แสงสว่าง และระยะเวลาหยุดพัก มิได้แปรผันตรงกับผลผลิต แต่กลับมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงความ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงาน ตลอดจนเป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงานของคนงานการค้นพบดังกล่าว เป็นเครื่องกระตุ้นให้นักวิชาการและนัก คิดให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ในระยะเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก

    (นางสาวสิริกร . ราชมณี 12590084)

    ตอบลบ

  51. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
    หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม ถ้าใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง
    (นางสาวเอเซีย พิทยาพละ 12590112)

    ตอบลบ
  52. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    -ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นางสาวชุติกาญจน์ ปานดารา 12590016)

    ตอบลบ
  53. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (เบญญาภา กรีรถ 12590044)

    ตอบลบ
  54. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    (นางสาวพัชรา จูเอี่ยม 12590054)

    ตอบลบ
  55. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นายธนสิทธิ์ อาจอ่อนศรี 12590036)

    ตอบลบ
  56. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    -ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นายอัษฎาวุธ เขตเจริญ 12590106)

    ตอบลบ

  57. การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
    หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (วิลาสินี เกตุแก้ว 12590073)

    ตอบลบ
  58. 5.จงอธิบายแนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์โดยใช้ผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์นเป็นแนวทาง

    : หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)

    (ศศิมา ปานชงค์ 12590077)

    ตอบลบ
  59. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    นายธรรศธรรม จำปาทอง 12590790

    ตอบลบ
  60. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (นางสาวชนาวาส บัววงค์ 12590013)

    ตอบลบ
  61. ด้วยแนวคิดพฤติกรรมศาสตร์ เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นในการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาทฤษฏีความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การที่จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารสำหรับผู้จัดการในการดูแลบริหารพนักงานต่อไป แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่พยายามค้นคว้าศึกษาถึงหลักการธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมมนุษย์เมื่อทำงานร่วมกันกับผู้อื่น รวมทั้งสิ่งที่จะสามารถใช้จูงใจมนุษย์ในการทำงาน และพัฒนาออกมาเป็นทฤษฏีต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริหารใช้เป็นแนวทางในการจัดการ จากผลการทดลองที่ฮอร์ธอร์น สรุปเป็นแนวความคิดได้ว่า ปัจจัยด้านปทัสถานทางสังคม เป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตไม่ใช้ปัจจัยด้านกายภาพ ความคิดที่ว่าคนเห็นแก่ตัว ต้องการเงินค่าตอบแทนมากๆเป็นการมองแค่ภาพมุมแคบ และพฤติกรรมของคนงานถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ภายในกลุ่มสนับสนุนให้มีการทำวิจัยด้านผู้นำต่างๆ ผู้นำต้องให้โอกาสในการได้ตัดสินใจต่อทุกคน
    นางสาวหมายขวัญ นวลอุไร 12590099

    ตอบลบ
  62. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกัน ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความหวังของคนงานตลอดจนเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    นางสาวภัทราพร ผังรักษ์ 12590061

    ตอบลบ
  63. กการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง)
    (พัชมน มนต์วิมลพร 053)

    ตอบลบ
  64. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม (ใครทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้ในแต่ละวันถือว่าไร้สมรรถภาพแต่ถ้าทำได้สูงกว่าถือว่าอยากดัง) (ชัชญาณ์ณัฐ ภูวิศภัทรนนท์ 12590110)

    ตอบลบ
  65. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ฮิวโก มินส์เตอร์เบิร์ก ( Hugo Minsterberg)ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จิตวิทยาและประสิทธิภาพอุตสาหกรรม คือ วิธีการค้นหาบุคคลที่มีสภาพทางจิตใจที่ดีที่สุด เพื่อบรรจุลงในตำแหน่งงานที่เหมาะสม และลักษณะสภาพทางจิตวิทยาที่ทำให้บุคคลพึงพอใจมากที่สุดจากการทำงานจะช่วยให้เกิดผลผลิตที่น่าพึงพอใจสูงที่สุดและมากที่สุด
    ในกรณีศึกษาของ Hawthorne
    Elton George Mayo(1880-1949)ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานผลการศึกษา 1. แสงสว่างมีความสัมพันธ์กับผลผลิต 2. กลุ่มมีความสัมพันธ์ต่อผลการปฏิบัติงาน และ3. ระบบสังคมหรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานมีผลต่องาน
    สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    สรุป แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เป็นแนวคิดที่ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความรู้สึกและความคาดหวัง เป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกของคนเป็นหลัก
    นางสาว ดวงหทัย โฉมมา 12590029

    ตอบลบ
  66. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก

    ผลทดลองการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies)

    1.ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2.ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทนผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3.ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4.ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (นายชินวัตร พิพัฒน์พงศานนท์ 12590015)

    ตอบลบ
  67. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ของฮอว์ธอน
    จอร์จ อี. เมโย เป็นบุคคลสำคัญต่อการพพัฒนาแนวคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์ การจัดการมีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่า
    ระดับของแสดงสว่างในการทำงานกับผลผลิตของคนงาน
    โดยแบ่งคนงานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และ กลุ่มควบคุม โดยการศึกษาทดลองสรุปว่าผลการผลิตของคนงานยังขึ้นอยุ่กับปัจจัยอื่นๆด้วย
    การเริ่มต้นฮอว์ธอนของเมโย เป้นจุดเริ่มต้นทำให้คนเริ่มสนใจที่จะศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ตลอดจนนปัจจัยทางจิตวัทยาี่มีผลต่อการทำงาน
    (ณัฐนพิน ชินวัฒนา 12590021)

    ตอบลบ
  68. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ผลทดลองการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies)
    1.ระยะแรก ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2.ระยะที่ 2 พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น/ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทนผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3.ระยะที่ 3 เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4.ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (สิทธิชัย พ่อค้าเรือ 12590083)

    ตอบลบ

  69. แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) เกิดขึ้นใกล้เคียงกับแนวคิดการจัดการเชิงวิทยา ศาสตร์และแนวคิดการจัดการเชิงบริหาร กล่าวคือ แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เกิดขึ้น จากการที่นักวิชาการและนักคิดยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการ ค้นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองกลับปรากฏว่า ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ เงิน แสงสว่าง และระยะเวลาหยุดพัก มิได้แปรผันตรงกับผลผลิต แต่กลับมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงความ สัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึกและความคาดหวังของคนงาน ตลอดจนเป้าหมาย และแรงจูงใจในการทำงานของคนงานการค้นพบดังกล่าว เป็นเครื่องกระตุ้นให้นักวิชาการและนัก คิดให้ความสำคัญกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ในระยะเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก
    (พงศธร ศิริสมบูรณ์ 12590052)

    ตอบลบ
  70. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก ฮิวโก มินส์เตอร์เบิร์ก ( Hugo Minsterberg)ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จิตวิทยาและประสิทธิภาพอุตสาหกรรม คือ วิธีการค้นหาบุคคลที่มีสภาพทางจิตใจที่ดีที่สุด เพื่อบรรจุลงในตำแหน่งงานที่เหมาะสม และลักษณะสภาพทางจิตวิทยาที่ทำให้บุคคลพึงพอใจมากที่สุดจากการทำงานจะช่วยให้เกิดผลผลิตที่น่าพึงพอใจสูงที่สุดและมากที่สุด
    ในกรณีศึกษาของ Hawthorne
    Elton George Mayo(1880-1949)ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงานผลการศึกษา 1. แสงสว่างมีความสัมพันธ์กับผลผลิต 2. กลุ่มมีความสัมพันธ์ต่อผลการปฏิบัติงาน และ3. ระบบสังคมหรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานมีผลต่องาน
    สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้
    สรุป แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์เป็นแนวคิดที่ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ความรู้สึกและความคาดหวัง เป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกของคนเป็นหลัก
    (ธนพล โชครัตน์ประภา 12590033)

    ตอบลบ
  71. ลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
    ฮอว์ธอร์น (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (คณภัทร์ ศิริโยธิน 12590108)

    ตอบลบ
  72. ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น สำหรับการทดลองที่ฮอว์ธอร์นนั้นเมโยได้ทำการแบ่งกลุ่มคนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กลุ่ม (ในการศึกษาหลาย ๆ ครั้ง) กลุ่มแรกเรียกว่ากลุ่มทดลอง กลุ่มที่สองเรียกว่ากลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ทำงานที่เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งงานที่ให้ทำคือให้คนงานทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมประกอบชิ้นส่วนของงาน ในกลุ่มทดลองนั้นจะมีวิธีการนำเอาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนให้ในกรณีที่คนงานทำงานได้เกินเกณฑ์มาตรฐาน การเพิ่มแสงสว่างในการทำงาน การปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้มีความเหมาะสม ส่วนในกลุ่มควบคุมนั้นไม่มีการนำเอาวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาใช้ ซึ่งจากการวิจัยทดลองปรากฏว่าผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงานของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ไม่ได้ผลที่โรงงานแห่งนี้

    (ธนกฤติ สาสนทาญาติ 12590032)

    ตอบลบ
  73. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management)
    ตามหลักของทฤษฎีจะให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่า
    เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ
    Hugo Minstberg แนวความคิดของเขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่ฮอว์ททอร์น
    (The Hawthrone Studies)
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (น.ส.ณัฐรี เต่าแก้ว 12590026)

    ตอบลบ
  74. หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
    เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นผู้ที่ท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ในการบริหารงาน
    1. ระยะแรก – ศึกษาผลกระทบของสภาวะแวดล้อมของการทำงานที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของคนงาน โดยทำการทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแสงสว่างในการทำงาน ผลที่ได้ คือ แสงสว่างไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตที่คนงานผลิตได้
    2. ระยะที่ 2 – พยายามทดสอบผลกระทบของตัวแปรอื่น ๆ เช่น การจัด ปรับช่วงเวลาพักผ่อนให้ สั้น / ยาว และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลที่ได้คือ ไม่เปลี่ยนแปลง
    3. ระยะที่ 3 – เป็นการพูดคุยและสัมภาษณ์คนงาน พบว่าตัวแปรที่เกี่ยวกับบุคคลและสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในการปฏิบัติงาน
    4. ระยะสุดท้าย – ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ แต่งานที่ให้ทำมีทั้งงานที่ทำส่วนบุคคลและกลุ่ม ผลที่ได้พบว่ามาตรการทางสังคม
    (สมภพ ขุนทรง 12590079)

    ตอบลบ

         7.จงเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างของบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุดกับการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด