การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Frederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและ สมเหตุสมผล
1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิค
ตอบลบในยุคนี้ มุ่งเน้นในการทำงาน จะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน และยังมุ่งเน้น ถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม แบ่งเป็น 3แนวคิด คือ
1. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
2. แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
3. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
2.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ยุคนี้จะมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา สมัยนี้ต้องการความคิดสร้างสรรค์แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์มีดังนี้
1. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่งแต่จะให้ความสำคัญกับคนมากกว่าด้านการจัดระเบียบความสัมพันธ์ตำแหน่ง
2. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
3. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับแรงจูงใจ เชื่อว่าการจูงใจจะทาให้คนตั้งใจทางาน
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
ในยุคนี้มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่า ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง แนวคิดนี้จะประกอบด้วยแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่ ประกอบด้วย
1. แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
2. แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
3. แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
ยุคนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งสำหรับแนวความคิดหลักทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ ดังนี้
1. การควบคุมคุณภาพ
2. การควบคุมคุณภาพโดยรวม
3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. การรื้อปรับระบบ
แนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนํามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นํามาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาว สรัสนันท์ บุญมี 12590080)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ“แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” เน้นการทดลองเพื่อให้ได้กระบวนการ ขั้นตอนและวิธีที่ดีที่สุดในการทำงานเพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุดหรือได้รับผลลัพธ์ดีที่สุดในการททำงาน ขณะที่”แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร” นักคิดและนักวิชาการได้กำหนดกฎเกณฑ์และหลักการทางบริหารจัดการให้มีกระบวนวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น “แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์” นั้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกนึกคิดของคน ซึ่งได้การค้นพบและรับการพัฒนาจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของ พนักงานจนพบว่าปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นผลผลิตของพนักงานขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยทาง การผลิต ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ ส่วน “แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ” เป็นแนวคิดการจัดการที่ทำให้พัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นในการนำทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหาร และสุดท้ายคือ “แนวคิดการจัดการร่วมสมัย” ซึ่งได้เสนอวิธีการที่หลากหลายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการ ด้วยการพิจารณาระบบที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ได้แก่ แนวคิดเรื่องระบบ ซึ่งเน้นให้องค์กรให้ความสำคัญกับระบบต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรซึ่งเป็นระบบใหญ่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ แนวคิดการจัดการตามสถานการณ์เสนอว่าผู้บริหารควรใช้วิธีการบริหารงานที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ซึ่งจะเป็นผลให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดีแนวคิดแต่ละแบบมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาว ณัฐฐา จินตกวีพันธุ์ 12590020)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ-แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง ทดลองตามกระบวนการซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
-แนวคิดการจัดการเชิงบริหารเป็นการกำหนดหลักการบริหารให้ชัดเจน คือ การริเริ่มกำหนดกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจหน้าที่ทางการจัดการคุณลักษณะของผู้จัดการและหลักการจัดการ
-แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการจัดการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึก และความคาดหวังของคนงาน และเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
-แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณเป็นการนำหลักคณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
-แนวคิดการจัดการร่วมสมัยเป็นแนวคิดเรื่องระบบ คือ การวางแผน การบริหารทรัพยากรบุคคล การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน การควบคุม การเงินและการผลิต
การบริหารจัดการทั้งหมดที่กล่าวมามีความเหมือนกันคือเป็นการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดแต่แตกต่างกันตรงวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้องคืกรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
(นางสาวอัมรินทร์ เกมอ 12590105)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
ตอบลบ2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
3.แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
4.แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(ชนกนาฎ สหทรัพย์เจริญ 12590012)
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
- หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
- การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
- การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
- การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก(Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ
3.กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
- แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
สรุปว่าแนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาว ปวีณา เกตุแย้ม 12590047)
การบริหารจัดการที่ดีที่สุด คือการบริหารด้วยวิธีที่ชัดเจน มีคุณภาพ และสามารถใช้ได้จริง มีหลักเกณฑ์ กระบวนการและเป็นขั้นเป็นตอน แต่การบริหารจัดการที่เหมาะสม คือการนำวิธีการบริหารที่ดีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และคนทำงาน เนื่องจากหลักเกณฑ์บางอย่างที่ได้กำหนดไว้อาจเป็นการวางหลักกลางๆ ไม่ได้เจาะจงว่าทุกองค์กรจะต้องมีและต้องทำตามแบบ การเลือกทำตามหลักเกณฑ์ก็อาจจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ในขณะนั้น เนื่องจากทุกเวลาคือการเกิดขึ้นใหม่ซึ่งไม่อาจคาดเดาและมั่นใจได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ตอบลบ(นางสาวณัฐนรี สีทองสุก 12590022)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุค
ตอบลบก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงาน ซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้ การลงโทษ การใช้แส้ การท างานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือประมาณปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการบริหารในยุคนี้มี 2 ท่าน คือ Frederich W. Taylor และ Henri J. Fayol
Frederich W.Taylor ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของ
วิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผล Taylor ได้คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าที่ใช้อำนาจ (Power) ว่าเป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้และมีความ
เชื่อว่า การบริหารที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ การทำงานไม่ได้เป็นไปตามยะถากรรม Taylor จึงได้ศึกษาและวิเคราะห์เวลาการเคลื่อนไหวในขณะทำงาน ( Time and Motion ) เพื่อดูการทำงานและการเคลื่อนไหวของคนงานในขณะทำงาน โดยได้คิดค้นและกำหนด วิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way) สำหรับงานแต่ละอย่างที่ได้มอบหมายให้คนงานทำ ดังนั้น ผู้บริหารการจัดการ จึงต้องเน้นและปฏิบัติดังนี้
1.กำหนดวิธีการทำงานด้วยหลักเกณฑ์ที่ได้มีการทดลองแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากร ต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสม
3. ต้องมีการประสานร่วมมือระหว่างผู้บริหารกับคนงาน
4. ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในด้านการวางแผน และมีการมอบหมายงานตามความถนัดด้วย
(นางสาวสุรีรัตน์ สระเกตุ 12590098)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกัน คือ
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก สำหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะ คือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทาการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทางาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทางานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทางานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทางานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทางานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(นางสาวกรกนก จันทร์พันธุ์ 12590003)
7.จงเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างของบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุดกับการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด
ตอบลบแนวคิดในการจัดการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1.แนวคิดกลุ่มคลาสสิก มีแนวคิดหลักในการจัดการที่มุ่งเน้นการทำงาน โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ และมุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง แบะทดลองซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
เป็นการวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
การแบ่งแผนกอย่างชัดเจน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กร
2.แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมมนุษย์ ให้ความสำคัญกับมนุษย์ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่ง โดยให้ความสำคัญกับคนมากกว่าด้านการจัดระเบียบความสัมพันธ์ตำแหน่ง
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับแรงจูงใจ เชื่อว่าการจูงใจจะทำให้คนตั้งใจทำงาน
3.แนวคิดกลุ่มการจัดการสมัยใหม่ เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ
-แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิต
-แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
-แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
สรุป การบริหารจัดการที่ดีที่สุด เป็นการบริหารจัดการที่มีหลักเกณฑ์และกระบวนการที่ชัดเจน เพื่อที่จะนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ส่วนการบริหารจัดการที่เหมาะสม เป็นการวิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และคนทำงาน เนื่องจากสังคมมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงต้องอาศัยการบริหารจัดการที่เหมาะสมด้วย
(อภิษฐา เนียมศิริ 12590101)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทำงานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
แนวคิดแต่ละแนวมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกับ ผู้บริหารควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับองค์ก่ และประยุกต์แนวทางให้สอดคล้องกับคสามเป็นไปได้ในองค์กรเพื่อนำแนวทางที่ดีที่สุดมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในองค์กร
น.ส.วราภรณ์ ขันสมบัติ 12590069
แนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ
(อารียา ปานทอง 12590109 )
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1.แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม แนวคิดการบริหารจัดการในยุคสมัยเดิมจะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่โดยยึดหลักคุณธรรมในการแบ่งงานเป็นสำคัญอันทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ อีกทั้งยังเน้นหลักความชำนาญเฉพาะด้าน หลักการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นหลักประกันให้งานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความราบรื่น แต่ผลกระทบที่ตามมาคือทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์การลดลง
2.แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ มุ่งศึกษาปัญหาในด้านการจูงใจ ทำให้คนยินยอมปฏิบัติงานที่มอบหมายให้สำเร็จ เป็นการให้ความสำคัญเกี่ยวกับบุคคลที่มีความต้องการทั้งทางด้านสังคมและตนเอง ส่วนปัจจัยด้านโครงสร้างถูกกำหนดรองลงมา
3.แนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่ แนวคิดของการบริหารจัดการแนวเดิมมุ่งเน้นโครงสร้างที่เป็นทางการ ที่มีการกำหนดกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดในการใช้อำนาจหน้าที่ ส่วนแนวคิดทางการจัดการแนวมนุษยสัมพันธ์และพฤติกรรมศาสตร์นั้นก็มีจุดเด่นที่ได้มุ่งเน้นการให้ความสำคัญในตัวคน สำหรับแนวความคิดของนักทฤษฏีสมัยใหม่ได้วิจารณ์ว่าแนวความคิดทางการจัดการแนวพฤติกรรมศาสตร์สิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงเนื่องจากโครงสร้างองค์การที่เป็น ทางการและการใช้สิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น
4.แนวคิดการบริหารจัดการยุค โลกาภิวัตน์ มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน และปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของ ผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
แนวคิดที่กล่าวมาข้างต้น แต่ละแนวคิดก็จะมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งแต่ละแนวคิดนั้นก็สามารถที่จะนำมาบริหารจัดการภายในองค์กรของตนเองได้โดยผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะทำให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้ และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละองค์กร เพื่อให้เกิดประโยชน์และเกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(ปิยาภรณ์ ชินวงค์พรหม 12590051)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเนื่องจากการบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่องค์กรทุกองค์กรให้ความสำคัญเพื่อให้ได้วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ มีกระบวนการและขั้นตอนที่ไม่ซ้ำซ้อน ความผิดพลาดการทำงานต้องเกิดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดเลย มีการวางแผนมีระบบระเบียบ แต่การบริหารจัดการที่เหมาะสมก็คือต้องเลือกการบริหารจัดการที่เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรและเหมาะสมกับทักษะและความสามารถของพนักงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพ
ตอบลบดังนั้นการบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุดกับการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุดต่างมีการความแตกต่างกันเพราะการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุดอาจไม่ใช่การบริหารจัดการที่ดีที่สุด แต่มีจุดที่เหมือนกันตรงเพื่อให้ได้ผลที่ดีต่อองค์กร
(นางสาวปรมาพร สิงขรรัตน์ 12590046)
ตอบลบ1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิค
ในยุคนี้ มุ่งเน้นในการทำงาน จะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน และยังมุ่งเน้น ถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม
2.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ยุคนี้จะมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
ในยุคนี้มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่า ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
ยุคนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
สรุป แนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนํามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นํามาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
น.ส.อภัสสร ปูชนียกุล 12590100
ตอบลบการจัดการ (Management) นั้นเน้นไปที่ การทำให้รอด (Survive) หมายความว่า การจัดการจะมองสั้นๆ โดยมองว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้สำเร็จ ถ้าสำเร็จแล้วถือว่าภารกิจบรรลุ ในการจัดการจึงเน้นไปที่การกระทำที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วที่สุด แต่ถามว่าการสำเร็จในตอนนี้มันจะส่งผลกระทบอะไรในภายภาคหน้ามั้ย อันนี้การจัดการจะบอกว่าไม่รู้แล้วก็ไม่สน แต่การบริหาร (Administration) จะมองไปที่ความยั่งยืน (Sustainable) ซึ่งเป็นการมองระยะยาว ถ้าวันนี้สำเร็จจริง แต่เมื่อมองในระยะยาวแล้ว การสำเร็จนั้นทำให้เกิดผลข้างเคียงที่กระทบต่อองค์กร การบริหารจะปฏิเสธความสำเร็จนั้น สรุปว่าการจัดการจะสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่การบริหารจะสนใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่คือสาเหตุที่ผู้จัดการและผู้บริหาร มีหน้าที่แตกต่างกัน ในทางทฤษฎีอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นคำที่แตกต่างกัน แต่ในทางปฏิบัติคุณจะพบว่าคำเหล่านั้นเหมือนกันมากหรือน้อย คุณจะสังเกตเห็นว่าผู้จัดการดำเนินกิจกรรมทั้งการบริหารและการทำงาน แม้ว่าผู้จัดการที่ทำงานในระดับบนสุดจะกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารในขณะที่ผู้จัดการที่ทำงานในระดับกลางหรือล่างหมายถึงการจัดการ ดังนั้นเราสามารถพูดได้ว่าการบริหารจัดการเหนือการจัดการ
(สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์ 12590954)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
ในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะคือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทาการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทางาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทางานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทางานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทางานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทางานของคนและปัจจัย
อื่นๆจากการทดลองนี้ได้ประโยชน์หลายประการ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
สุภัทษา สนธิช่วย 12590096
แนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(ณัฐชัญญา ปรินจิตต์ 12590896)
เเนวคิดทางการจัดการเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจังในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยเริ่มต้นจากการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ 1.เเนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ เน้นการทดลองเพื่อให้ได้กระบวนการ ขั้นตอนเเละวิธีที่ดีที่สุดในการทำงานเพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุดหรือได้รับผลลัพธ์ดีที่สุดในการทำงาน นักคิดเเละนักวิชาการยังกำหนด 2.เเนวคิดการจัดการเชิงบริหาร ที่เสนอกฎเกณฑ์เเละหลักการทางบริหารจัดการให้มีกระบวนวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 3.เเนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนเเละความรู้สึกนึกคิดของคน 4. เเนวคิดการจัดการเชิงปริมาร ที่เชื่อมั่นในการนำทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติเเละเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหาร เเละ 5.เเนวคิดการจัดการร่วมสมัย เสนอวิธีการที่หลากหลายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ด้วยการพิจารณาระบบที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ได้เเก่ เเนวคิดเรื่องระบบ ซึ่งเน้นให้องค์กรให้ความสำคัญกับระบบต่างๆภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรซึ่งเป็นระบบใหญ่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เเนวคิดเเตะละเเบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาเเนวคิดเเต่ละเเบบอย่างถ่องเเท้เเละนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของเเต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์เเละประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างเเท้จริง
ตอบลบนางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ-การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้น เป็นการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้นโดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากกระบวนการวิทยาศาสตร์มีขั้นมีตอนที่ชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้จึงนำมาสู่การสร้างมาตรฐานการทำงาน
-การจัดการเชิงบริหาร เป็นการจัดการที่เป็นระบบระเบียบขึ้น แนวความคิดนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าการบริหารแบบวิทยาศาสตร์นั้นเป็นลักษณะสากลที่มีอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่นักทฤษฎีในกลุ่มการจัดการแบบการบริหารนี้จะมุ่งเน้นสนใจในการปรับปรุงการทำงานของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายการจัดการโดยเฉพาะ ไม่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการทำงานของพนักงานระดับล่าง โดยนักทฤษฎีกลุ่มนี้จะมีสมมติฐานว่าความสำเร็จของงานนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานของฝ่ายจัดการหรือฝ่ายบริหารมากกว่า
- การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด
-การจัดการเชิงปริมาณช่วยในการตัดสินใจ โดยใช้คณิตศาสตร์ สถิติและสารสนเทศเป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาทางการจัดการ การใช้การจัดการเชิงปริมาณยังคงใช้ได้เฉพาะปัญหาที่มีลักษณะเป็นแบบที่มีโครงสร้าง ทฤษฎีวิทยาการจัดการ เป็นวิธีการสมัยใหม่ในด้านการจัดการ ที่เน้นการใช้เทคนิคเชิงปริมาณอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยให้ผู้จัดการทำการใช้ทรัพยากรองค์การ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์และบริการให้มากที่สุด
-การจัดการร่วมสมัยมีทฤษฎีที่สำคัญ คือ หลักการบริหารตามทฤษฎีเชิงระบบ หลักการบริหารตามสถานการณ์มีแนวคิดว่า ทุกหลักการไม่ใช่หลักการหรือวิธีที่ดีที่สุด หลักการบางประการบางครั้งได้ก่อให้เกิดผลในทางลบด้วย เช่น หลักการแบ่งงานกันทำตามความถนัด ก่อให้เกิดการสร้างอาณาจักร แข่งขันกันนักทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ จึงเชื่อว่า หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่ง ๆ เท่านั้น
(ศุภิสรา นรินยา 12590717)
1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคคลาสสิค
ตอบลบ-มุ่งเน้นในการทำงาน ให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงาน มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน มุ่งเน้นหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม
2.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
-มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับคน เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
-มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
-มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน และปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของ ผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
(น.ส.ศศิพิมพ์ ชัยกุลพัฒนา 1259OO76)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิค
ในยุคนี้ มุ่งเน้นในการทำงาน จะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน และยังมุ่งเน้น ถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม
2.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ยุคนี้จะมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
ในยุคนี้มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่า ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
ยุคนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
สรุป แนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างให้เข้าใจ และนํามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละองค์กรเพื่อนํามาซึ่งประโยชน์ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นายนภนต์ เจียรนัย 12590040)
แนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ
(นายสุกัลย์ จันทร์ตรี 12590087)
การบริหารจัดการที่ดีที่สุด คือการบริหารด้วยวิธีที่ชัดเจน มีคุณภาพ และสามารถใช้ได้จริง มีหลักเกณฑ์ กระบวนการและเป็นขั้นเป็นตอน แต่การบริหารจัดการที่เหมาะสม คือการนำวิธีการบริหารที่ดีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และคนทำงาน
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้น
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management ) ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น การจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(ณัฐฌา ปักกัง 12590019)
7.จงเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างของการบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีสุดกับการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด
ตอบลบตอบ : แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ : เน้นการทดลองเพื่อให้ได้กระบวนการ ขั้นตอน และวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร : มีการเสนอกฎเกณฑ์และหลักการบริหารจัดการให้มีกระบวนการวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ : ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกนึกคิดของคน
แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ : นำทฤษฎีทางคณิศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหาร
แนวคิดการจัดการร่วมสมัย : เสนอวิธีการที่หลายหลายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
แนวคิดทางการจัดการแต่ละแนวมีเป้าหมายและทิศทางเดียวกันคือ การทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร แต่แนวคิดต่างๆ เหล่านี้มีจุดมุ่งเน้นหรือวิธีในการจัดการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่แตกต่างกันไป
นางสาวสุดารัตน์ สุขสาม (รหัส 12590090)
การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
ตอบลบFrederick W. Taylor ได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ Taylor ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของคนงานแล้วพบว่าแต่ละคนทำงานตามแบบที่ตัวเองอยากทำโดยขาดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน จากปัญหานี้ Taylor เชื่อว่าสามารถแก้ไขโดยให้หัวหน้าคนงานสอนวิธีการทำงานที่ถูกต้องให้กับพนักงานทุกคน นอกจากนี้ Taylor ยังศึกษาเวลากับการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์เวลากับความเคลื่อนไหวในการทำงานเพราะ Taylor ต้องการที่จะพัฒนาหรือหาวิธีการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจากการศึกษาในเรื่อง Time and motion study
Taylor ได้วิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่ต้องการให้งานเสร็จแล้วต้องค้นหาเวลาที่เหมาะสมกับ
งานแต่ละชิ้นเพื่อนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้คนงานถือปฏิบัติซึ่งข้อสรุปนี้คือต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานทำงานในแต่ละส่วนของตนเอง ส่วนในเรื่องการจูงใจให้คนทำงานนั้น Taylor ใช้วิธีการจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ซึ่ง Taylor เชื่อว่าเป็นระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและ
สมเหตุสมผล
การจัดการเชิงบริหาร ( Administrative Management)
การจัดการเชิงบริหารจะเน้นและให้ความสำคัญกับผู้บริหารเป็นหลัก ดังนั้นจึงมีความเชื่อว่าหลักการจัดการอันเป็นสากลสามารถทำให้องค์การประสบความสำเร็จ
ตามแนวความคิด Fayol เชื่อว่าการบริหารเป็นสิ่งที่สามารถสอนกันได้ดังนั้น Fayol จึงพยายามสร้างหลักการต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหารหลักการบริหารหรือหน้าที่ทางการตามหลัก Fayol คือ
1. การวางแผน
2. การจัดองค์การ
3. การสั่งการ
4. การประสานงาน
5. การควบคุม
นอกจากนี้ Fayol ยังคิดค้นหลักการจัดการขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้บริหารทำงานและประสบความสำเร็จ คือ
1. การแบ่งงานกันทำ
2. อำนาจหน้าที่
3. เอกภาพการสั่งการ
4. วินัย
5. เอกภาพในทิศทาง
6. เน้นผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
7. ผลตอบแทนต้องยุติธรรม
8. ควรกระจายอำนาจในการทำงาน
9. สายการบังคับบัญชา
10. ระเบียบ
11. ความยุติธรรม
12. ความมั่นคงในหน้าที่การงาน
13. ควรมีความคิดริเริ่ม
14. ต้องมีความสามัคคี
หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
หลักการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (The behavior approach to management) ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด ประการสุดท้าย คือธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อคนงานในแง่ที่ว่าสามารถช่วยให้คนงานบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น Hugo Minstberg จึงเริ่มทาการศึกษาและทดลองการศึกษาที่
ฮอว์ททอร์น (The Hawthrone Studies)
หลักการจัดการเชิงปริมาณ
หลักการจัดการเชิงปริมาณ หรือการจัดการบริหารศาสตร์ เป็นวิธีการจัดการโดยใช้คณิตศาสตร์ ช่วยในการตัดสินใจ และวิธีการเชิงระบบเทคนิคของการบริหารศาสตร์
1. ไม่ได้เน้นถึงปัจจัยบุคคลอย่างเพียงพอ เพราะบุคคลเป็นพฤติกรรมจึงยากที่จะเขียนออกมาในลักษณะคณิตศาสตร์
2. การบริหารศาสตร์เป็นเรื่องของการพิจารณาปัญหา หรือกระบวนการบริหารโดยส่วนรวม
3. การอธิบายและแก้ปัญหาอาจจะนำเสนอในรูปของสูตร และแบบจำลอง โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรม
4. การนำเอารูปแบบทางการบริหารมาใช้เป็นเรื่องต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง
หลักการจัดการร่วมสมัย
หลักการจัดการร่วมสมัย คือหลักการบริหารที่นำเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้ ดังนี้
วิธีการศึกษา
วิธีการศึกษาเชิงประจักษ์หรือใช้กรณีศึกษา ( Empirical or case approach)
ศึกษาจากประสบการณ์ผ่านกรณีศึกษาโดยเชื่อว่า การเรียนรู้ความสำเร็จและความผิดพลาด รวมทั้งความพยายามของผู้บริหารในการแก้ไขปัญหาเฉพาะในแต่ละกรณีศึกษา จะทำให้มีความรู้ในการจัดการอย่างมีประสิทธิผล เมื่อพบกับปัญหาภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
ข้อจำกัด
สถานการณ์แต่ละสถานการณ์มีความแตกต่างกันไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว การพยายามสรุปเป็นสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาทุก ๆ ปัญหาทำไม่ได้ รวมทั้งการศึกษาแนวนี้ไม่สามารถใช้พัฒนา ทฤษฎีทางการจัดการได้
นาวสาวกุลปริยา แย้มเกษร 12590005
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ-แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง ทดลองตามกระบวนการซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
-แนวคิดการจัดการเชิงบริหารเป็นการกำหนดหลักการบริหารให้ชัดเจน คือ การริเริ่มกำหนดกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจหน้าที่ทางการจัดการคุณลักษณะของผู้จัดการและหลักการจัดการ
-แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการจัดการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึก และความคาดหวังของคนงาน และเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
-แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณเป็นการนำหลักคณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
-แนวคิดการจัดการร่วมสมัยเป็นแนวคิดเรื่องระบบ คือ การวางแผน การบริหารทรัพยากรบุคคล การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน การควบคุม การเงินและการผลิต
การบริหารจัดการทั้งหมดที่กล่าวมามีความเหมือนกันคือเป็นการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดแต่แตกต่างกันตรงวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้องคืกรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
(น.ส.ดารารัตน์ ดาสาลี 12590030)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
ในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach )
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
ศิฌาวี เรือนปัญจะ 12590078
แนวความคิดการบริหารที่เป็นหลักเกณฑ์และมนุษย์สัมพันธ์เปรียบเทียบ
ตอบลบสำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
ในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะคือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทาการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทางาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทางานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทางานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทางานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทางานของคนและปัจจัย
อื่นๆจากการทดลองนี้ได้ประโยชน์หลายประการ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(นางสาวภัทรานิษฐ์ กุญแจทอง 12590059)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดและยุคสมัยมีความแตกต่างกัน และมีความเหมือนกันบ้างอยู่นิดหน่อยอันเกิดจากการนำแนวคิดขิงยุคที่แล้วๆมาปรับแก้ใช้ให้เข้ากับยุคสมัยและเหตุการณ์นั้น
ตอบลบยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก
ในยุคนี้ มุ่งเน้นในการทำงาน จะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน และยังมุ่งเน้น ถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม แบ่งเป็น 3แนวคิด คือ
1. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
2. แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
3. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ยุคนี้จะมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา สมัยนี้ต้องการความคิดสร้างสรรค์แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์มีดังนี้
1. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่งแต่จะให้ความสำคัญกับคนมากกว่าด้านการจัดระเบียบความสัมพันธ์ตำแหน่ง
2. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
3. แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับแรงจูงใจ เชื่อว่าการจูงใจจะทาให้คนตั้งใจทางาน
ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
ในยุคนี้มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่า ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง แนวคิดนี้จะประกอบด้วย
แนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่ ประกอบด้วย
1. แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
2. แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
3. แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
ยุคนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งสำหรับแนวความคิดหลักทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ ดังนี้
1. การควบคุมคุณภาพ
2. การควบคุมคุณภาพโดยรวม
3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. การรื้อปรับระบบ
การบริหารจัดการทั้งหมดที่กล่าวมาที่แบบออกตามแต่ละยุคสมัย มีความเหมือนกันคือเป็นการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดและให้ผลลัทที่คุมค่าตามวิธีนั้น แต่แตกต่างกันตรงวิธีการและยุคสมัยของเหตุการณ์ในการดำเนินการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
รัญชริดา มะนุ่น 12590067
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
- หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
- การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
- การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
- การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก(Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ
3.กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
- แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
สรุปว่าแนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาวณัฎฐา กมลศิลป์ 12590018)
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
- หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
- การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
- การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
- การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก(Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ
3.กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
- แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
สรุปว่าแนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
นาย ดนุสรณ์ เลิศเศรษฐี 12590028
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทำงานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
แนวคิดแต่ละแนวมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกับ ผู้บริหารควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับองค์ก่ และประยุกต์แนวทางให้สอดคล้องกับคสามเป็นไปได้ในองค์กรเพื่อนำแนวทางที่ดีที่สุดมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในองค์กร (อังคณา พิทักษ์สุข 12590104)
7. แนวคิดการจัดการในด้านต่าง ๆมีความคล้ายกัน ดังนี้
ตอบลบ- แนวคิดการบริหารองค์การแบบดั้งเดิมมี 2 รูปแบบ ได้แก่ การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์จะมุ่งเน้นงานและผลของงานเป็นสำคัญส่วนระบบการบริหารจัดการจะมุ่งเน้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการบริการทั้งหมดที่ส่งผลต่องาน เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทางการบริหารในยุคดั้งเดิมสมัยการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตในการทำงานโดยหลักการพื้นฐานประกอบด้วยการค้นหา วิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน (One best way) ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามวิธีการและกระบวนการที่ดีที่สุดที่เรียกว่า
- ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น (ค.ศ.1924) แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น
- ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern Management Theory or Behavioral Approach to Management)
แนวคิดใหม่ของนักวิชาการและนักบริหารคือ ความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มนี้มีแนวคิดว่า การบริหารจะประสบความสำเร็จได้ คนในองค์การต้องร่วมมือ ร่วมใจ สามัคคี มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน การทำงานต้องเป็นทีม(Team) และการบริหารต้องจัดเป็นระบบ (System) ขั้นตอนการทำงานต้องสัมพันธ์กัน กลุ่มนักวิชาแนวคิดนี้จึงได้เสนอ
- ทฤษฎีระบบ (System Theory)
- ทฤษฎีการบริหารงานตามวัตถุประสงค์ (Management by Objective :MBO)
- ทฤษฎีการพัฒนาองค์การ (Organization Development :OD)
- ทฤษฎีการบริหารงานตามสถานการณ์ (Situational or Contingency approach)
- บริหารหรือการจัดการในยุคโลกาภิวัตน์ ในทางวิชาการและในชีวิตประจำวัน ด้านหนึ่งนั้นมีความพยายามที่จะแยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบริหาร (Administration) และการจัดการ (Management) เช่น เกรแฮม (Graham Jr.) และเฮย์ (Hays) มีความเห็นว่าการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) เป็นส่วนหนึ่งของการเมือง (Politics) โดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดและการบังคับใช้นโยบายสาธารณะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาของความยุติธรรม ความเสมอภาคความเป็นตัวแทน (Representativeness) ความมีประสิทธิผล (Effectiveness) ของรัฐบาล และการควบคุมดำเนินการของฝ่ายบริหาร ส่วนการจัดการรัฐกิจ (Public Management) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบริหารรัฐกิจ กล่าวคือ การจัดการรัฐกิจจะให้ความสนใจเฉพาะการบังคับใช้หรือการนำเอานโยบายไปปฏิบัติของหน่วยงานของภาครัฐ โดยการจัดการรัฐกิจจะให้ความสำคัญต่อวิธีการ (Methods) ที่ข้าราชการใช้เพื่อปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมา
(อรณิชา ศรีสมัย 12590102)
7. "แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์" นั้นจะต้องมีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลองตามกระการซ้ำ ซึ่งจะทำให้ค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
ตอบลบ"แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร" จะเป็นการริเริ่มกำหนดกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจหน้าที่ทางการจัดการ คุณลักษณะของผู้จัดการ และหลักการจัดการ
"แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์" จะเน้นศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร เป็นตัน
"แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ" จะเน้นนำหลักคณิตศาสตร์ สถิติ ตลอดจนคอมผิวเตอร์และทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
"แนวคิดเรื่องระบบ" จะมองว่าองค์กรทุกองค์กรเป็นระบบใหญ่ซึ่งประกอบด้วยระบบย่อยต่างๆ ที่มีผลกระทบซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา
ที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าแนวคิดแต่ละแบบนั้นมีจุดเด่นในตัวเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาวอรวี ศรีวิโน 12590103)
แนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจและการทำงานที่รวดเร็วถูกต้องแม่นยำ
(วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)
1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคคลาสสิค
ตอบลบ-มุ่งเน้นในการทำงาน ให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงาน มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน มุ่งเน้นหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม
2.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
-มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับคน เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
-มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
-มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน และปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของ ผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
(น.ส.สุชานรี เวียนมานะ 12590089)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุค
ตอบลบก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงาน ซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้ การลงโทษ การใช้แส้ การท างานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือประมาณปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการบริหารในยุคนี้มี 2 ท่าน คือ Frederich W. Taylor และ Henri J. Fayol
Frederich W.Taylor ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของ
วิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผล Taylor ได้คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าที่ใช้อำนาจ (Power) ว่าเป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้และมีความ
เชื่อว่า การบริหารที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ การทำงานไม่ได้เป็นไปตามยะถากรรม Taylor จึงได้ศึกษาและวิเคราะห์เวลาการเคลื่อนไหวในขณะทำงาน ( Time and Motion ) เพื่อดูการทำงานและการเคลื่อนไหวของคนงานในขณะทำงาน โดยได้คิดค้นและกำหนด วิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way) สำหรับงานแต่ละอย่างที่ได้มอบหมายให้คนงานทำ ดังนั้น ผู้บริหารการจัดการ จึงต้องเน้นและปฏิบัติดังนี้
1.กำหนดวิธีการทำงานด้วยหลักเกณฑ์ที่ได้มีการทดลองแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากร ต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสม
3. ต้องมีการประสานร่วมมือระหว่างผู้บริหารกับคนงาน
4. ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในด้านการวางแผน และมีการมอบหมายงานตามความถนัดด้วย
(นางสาวจุฬาลักษณ์ สกุลวงวาร 12590010)
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบกลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ การบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากร การทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก (Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ ทำให้พบว่า
คนเป็นสิ่งมีชีวิตมีจิตใจ การสร้างขวัญและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญของการทำงาน
การให้รางวัลทางใจ เช่น การยกย่องชมเชย การให้เกียรติ มีผลต่อการทำงานไม่น้อยไปกว่าการจูงใจด้วยเงิน
ความสามารถในการทำงานของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมของหน่วยงานด้วย เช่น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนงาน เป็นต้น
อิทธิพลของกลุ่มมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของหน่วยงาน จึงมุ่งเน้นที่จะให้มี การทำงานเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แนวคิดเชิงสถานการณ์เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
แนวคิดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงกรอบปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่ทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาใช้ในการจัดการได้
(นางสาวณัฐพร ทองปลิว 12590024)
1.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก
ตอบลบในยุคนี้ มุ่งเน้นในการทำงาน จะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ มุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน และยังมุ่งเน้น ถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม แบ่งเป็น 3แนวคิด
2. ยุคแนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ยุคนี้จะมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การ การสร้างแรงจูงใจคนให้ยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การมุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทำให้คนงานยินยอมปฏิบัติงานที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ ปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การถูกให้ความสำคัญรองลงมา สมัยนี้ต้องการความคิดสร้างสรรค์แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
3.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่
ในยุคนี้มุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจัดการ เรียกว่าเป็นแนวคิดของการจัดการเชิงปริมาณและให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคลยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคม ที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน เช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่า ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
4.ยุคแนวคิดการบริหารจัดการยุคโลกาภิวัตน์
ยุคนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งสำหรับแนวความคิดหลักทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์
(นางบุญธิดา กะตะศิลา 12590043)
แนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ
(นายธีรภัทร์ จำปาเรือง 12590039)
⭐️แนวคิดในหลักการจัดการ สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ⭐️กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดย ฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลา กรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
⭐️กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์ส เตอร์เบิร์ก (Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมี ใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงาน ด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการ ศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้น ความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ ทำให้พบว่า
1. คนเป็นสิ่งมีชีวิตมีจิตใจ การสร้างขวัญและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญของการทำงาน
2. การให้รางวัลทางใจ เช่น การยกย่องชมเชย การให้เกียรติ มีผลต่อการทำงานไม่น้อยไปกว่าการจูงใจด้วยเงิน
3. ความสามารถในการทำงานของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมของหน่วยงานด้วย เช่น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนงาน เป็นต้น
4. อิทธิพลของกลุ่มมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของหน่วยงาน จึงมุ่งเน้นที่จะให้มีการทำงานเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
⭐️กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ แนวคิดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงกรอบปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่ทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาใช้ในการจัดการได้
#นางสาววชิราพร คำกอง 12590068
แนวคิดการบริหารองค์การแบบดั้งเดิมมี 2 รูปแบบ ได้แก่ การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์จะมุ่งเน้นงานและผลของงานเป็นสำคัญส่วนระบบการบริหารจัดการจะมุ่งเน้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการบริการทั้งหมดที่ส่งผลต่องาน เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทางการบริหารในยุคดั้งเดิมสมัยการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตในการทำงานโดยหลักการพื้นฐานประกอบด้วยการค้นหา วิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามวิธีการและกระบวนการที่ดีที่สุด ได้แก่
ตอบลบ- ทฤษฎีองค์การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) หมายถึง การจัดการที่มุ่งลักษณะ ผลกระทบของแต่ละบุคคล และพฤติกรรมของกลุ่มในองค์การ โดยการศึกษาทฤษฎีกลุ่มนี้ครอบคลุมทฤษฎี และแนวความคิดของนักทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ เอลตัน เมโย อับบราฮัม มาสโลว์ เฟดเดอริก เฮิร์ซเบิร์ต และดักลาส แม็คเกรเกอร์ ซึ่งนักทฤษฎีแต่ละคนได้ศึกษาธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์ และเสนอแนวความคิดที่มีมุมมองในแต่ละด้าน โดยเริ่มตั้งแต่การที่เอลตัน เมโย ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ และเป็นบุคคลผู้ที่ได้มีการท้าทายทฤษฎีที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาการบริหารงานแบบคลาสสิคโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การจัดการ ผลงานของเมโยที่สำคัญก็คือการทดลองที่เมืองฮอว์ธอร์น ซึ่งเป็นการทดลองที่เป็นจุดที่ทำให้นักทฤษฎีและนักบริหารได้หันมาให้ความสนใจในพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน โดยเดิมแล้วการศึกษานี้เป็นการศึกษาถึงการทำงานของมนุษย์(คนงาน) ในที่ทำงาน เนื่องจากในยุคนั้น แรงงานได้รับความสนใจมากขึ้น
- ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern Management Theory or Behavioral Approach to Management)
แนวคิดใหม่ของนักวิชาการและนักบริหารคือ ความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มนี้มีแนวคิดว่า การบริหารจะประสบความสำเร็จได้ คนในองค์การต้องร่วมมือ ร่วมใจ สามัคคี มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน การทำงานต้องเป็นทีม และการบริหารต้องจัดเป็นระบบ ขั้นตอนการทำงานต้องสัมพันธ์กัน กลุ่มนักวิชาแนวคิดนี้จึงได้เสนอ
- ทฤษฎีระบบ (System Theory)
- ทฤษฎีการบริหารงานตามวัตถุประสงค์ (Management by Objective :MBO)
- ทฤษฎีการพัฒนาองค์การ (Organization Development :OD)
- ทฤษฎีการบริหารงานตามสถานการณ์ (Situational or Contingency approach)
- บริหารหรือการจัดการในยุคโลกาภิวัตน์ ในทางวิชาการและในชีวิตประจำวัน ด้านหนึ่งนั้นมีความพยายามที่จะแยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบริหาร และการจัดการ เช่น เกรแฮม และเฮย์ มีความเห็นว่าการบริหารรัฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของการเมือง โดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดและการบังคับใช้นโยบายสาธารณะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาของความยุติธรรม ความเสมอภาคความเป็นตัวแทน ความมีประสิทธิผลของรัฐบาล และการควบคุมดำเนินการของฝ่ายบริหาร ส่วนการจัดการรัฐกิจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบริหารรัฐกิจ กล่าวคือ การจัดการรัฐกิจจะให้ความสนใจเฉพาะการบังคับใช้หรือการนำเอานโยบายไปปฏิบัติของหน่วยงานของภาครัฐ โดยการจัดการรัฐกิจจะให้ความสำคัญต่อวิธีการ ที่ข้าราชการใช้เพื่อปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมา
(นางสาวศศิประภา ผาดศรี 12590075)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
ในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach )
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(นายสัจจะ ปฎิบัติดี 12590081)
ลบแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จะใช้วิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลอง แล้ววัดผลการทดลอง ทำกระบวนการซ้ำเพื่อให้ได้วิธีที่ดีที่สุด
ตอบลบแนวคิดการจัดการเชิงบริหาร ได้มีการริเริ่มกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจ หน้าที่ทางการจัดการ คุณลักษณะของผู้จัดการ และหลักการจัดการ
แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ จะเกี่ยวข้องกับคนและความรู้สึกนึกคิด
แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ จะใช้หลักคณิตศาสตร์สถิติ ตลอดจนคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
แนวคิดการจัดการร่วมสมัย เป็นการเสนอวิธีการที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ได้แก่ แนวคิดระบบ
ซึ่งแต่ละวิธีการจะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ผู้บริหารต้องศึกษาแนวคิดและนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ขององค์กร เพื่อทำให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาวกชกร เดชกำแหง 12590001)
แนวคิดในการจัดการแบ่งออกเป็นกลุ่ม ดังนี้
ตอบลบ1.แนวคิดกลุ่มคลาสสิก มีแนวคิดหลักในการจัดการที่มุ่งเน้นการทำงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง
-แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
เป็นการวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
การแบ่งแผนกอย่างชัดเจน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล
2.แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมมนุษย์ ให้ความสำคัญกับมนุษย์ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่ง โดยให้ความสำคัญกับคนมากกว่า
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
3.แนวคิดกลุ่มการจัดการสมัยใหม่ เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงาน
-แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิต
-แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
-แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
การบริหารจัดการที่ดีที่สุด เป็นการบริหารจัดการที่มีหลักเกณฑ์และกระบวนการที่ชัดเจน เพื่อที่จะนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ส่วนการบริหารจัดการที่เหมาะสม เป็นการวิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และคนทำงาน
(ภิตติมาตุ์ เอื้ออรุณชัย 12590062)
การบริหารจัดการโดยวิธีที่ดีที่สุด คือการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวคิดของเทเลอร์ สรุปออกมาเป็นหลักการสำคัญและเกี่ยวข้องได้ 4 ประการ ดังนี้
ตอบลบ1.1 หลักการวิเคราะห์งานตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific of Analysis) จากการสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวัดอย่างรอบคอบ ฝ่ายจัดการจะกำหนดวิธีที่ดีที่สุด (On Best Way) ของการปฏิบัติในแต่ละงานไว้ แล้วฝึกผู้ทำงานให้ทำได้ตามนั้น การวิเคราะห์เช่นนี้แทนวิธีการแบบลองผิดลองถูก
1.2 หลักการคัดเลือกบุคลากร (Selection of Personnel) เมื่อวิเคราะห์แต่ละงานแล้ว หลักต่อไปจะต้องคัดเลือกผู้มาปฏิบัติงานหรือผู้ทำงาน แล้วฝึกอบรม สอน และพัฒนาผู้ทำงานเหล่านั้น
1.3 หลักการความร่วมมือของฝ่ายจัดการ (Management Cooperation) ฝ่ายการผู้จัดการควรร่วมมือกับผู้ทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่างานทั้งหมดที่กำลังทำอยู่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมาแล้ว และมีมาตรฐานและวิธีการตามที่กำหนดไว้ของฝ่ายการจัดการ
1.4 หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างผู้จัดการกับผู้ทำงาน (Division of Work Between Managers and Workers) เทเลอร์ยอมรับในการแบ่งงานกันทำ (Division of Work) โดยมีการแบ่งงานระหว่างผู้จัดการและผู้ทำงาน เพื่อให้ผู้จัดการรับผิดชอบการวางแผน (Planning) และการเตรียมงาน (Perparing Work) และรับผิดชอบการควบคุมดูแล (Supervising) ส่วนผู้ทำงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานของตน
การบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด คือทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์
ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ มีสมมุติฐานซึ่งประกอบด้วยแนวคิดดังนี้
1. ผู้ทำงานได้รับแรงจูงใจจากความต้องการด้านสังคมและด้านจิตวิทยาและสิ่งตอบแทนทางเศรษฐกิจ
2. ความต้องการเหล่านี้ ได้แก่ การยอมรับนับถือการเป็นเจ้าของ และความปลอดภัย มีความสำคัญต่อการกำหนดขวัญในการทำงานและการผลิตของผู้ทำงานได้มากกว่าสภาพทางกายภาพของสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
3. ความคิดเห็น ความเชื่อ แรงจูงใจ สติปัญญา การตอบสนองต่อความไม่สบายใจ ค่านิยม และองค์ประกอบในทำนองนี้ของแต่ละบุคคล อาจมีผลกระทบต่อพฤติกรรมในสภาพการทำงาน
4. ผู้ทำงานมีขวัญในการทำงานสูงขึ้น และทำงานหนักขึ้นภายใต้การบริหารจัดการแบบเกื้อหนุน (supportive management) นักทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์เชื่อว่าขวัญในการทำงานเพิ่มขึ้นทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย
5. การสื่อสาร อำนาจ อิทธิพล อำนาจหน้าที่ การจูงใจ และการจัดแจง มีความสัมพันธ์กันที่สำคัญยิ่งภายในองค์การ โดยเฉพาะระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ช่องการสื่อสารที่มีประสิทธิผลควรได้รับการพัฒนาขึ้นมาระหว่างระดับต่างๆ ในสายการบังคับบัญชาตามลำดับขั้น มนุษยสัมพันธ์เน้นภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยมากกว่าผู้นำแบบอัตตาธิปไตย
(มณฑล น้ำแก้ว 12590065)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ“แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” เน้นการทดลองเพื่อให้ได้กระบวนการ ขั้นตอนและวิธีที่ดีที่สุดในการทำงานเพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุดหรือได้รับผลลัพธ์ดีที่สุดในการททำงาน ขณะที่”แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร” นักคิดและนักวิชาการได้กำหนดกฎเกณฑ์และหลักการทางบริหารจัดการให้มีกระบวนวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น “แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์” นั้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกนึกคิดของคน ซึ่งได้การค้นพบและรับการพัฒนาจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของ พนักงานจนพบว่าปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นผลผลิตของพนักงานขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยทาง การผลิต ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ ส่วน “แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ” เป็นแนวคิดการจัดการที่ทำให้พัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นในการนำทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหาร และสุดท้ายคือ “แนวคิดการจัดการร่วมสมัย” ซึ่งได้เสนอวิธีการที่หลากหลายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการ ด้วยการพิจารณาระบบที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ได้แก่ แนวคิดเรื่องระบบ ซึ่งเน้นให้องค์กรให้ความสำคัญกับระบบต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรซึ่งเป็นระบบใหญ่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ แนวคิดการจัดการตามสถานการณ์เสนอว่าผู้บริหารควรใช้วิธีการบริหารงานที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ซึ่งจะเป็นผลให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดีแนวคิดแต่ละแบบมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาวสิตานัน หรุ่นทอง 12590082 )
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุค
ตอบลบก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงาน ซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้ การลงโทษ การใช้แส้ การท างานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือประมาณปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการบริหารในยุคนี้มี 2 ท่าน คือ Frederich W. Taylor และ Henri J. Fayol
Frederich W.Taylor ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของ
วิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผล Taylor ได้คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าที่ใช้อำนาจ (Power) ว่าเป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้และมีความ
เชื่อว่า การบริหารที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ การทำงานไม่ได้เป็นไปตามยะถากรรม Taylor จึงได้ศึกษาและวิเคราะห์เวลาการเคลื่อนไหวในขณะทำงาน ( Time and Motion ) เพื่อดูการทำงานและการเคลื่อนไหวของคนงานในขณะทำงาน โดยได้คิดค้นและกำหนด วิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way) สำหรับงานแต่ละอย่างที่ได้มอบหมายให้คนงานทำ ดังนั้น ผู้บริหารการจัดการ จึงต้องเน้นและปฏิบัติดังนี้
1.กำหนดวิธีการทำงานด้วยหลักเกณฑ์ที่ได้มีการทดลองแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากร ต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสม
3. ต้องมีการประสานร่วมมือระหว่างผู้บริหารกับคนงาน
4. ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในด้านการวางแผน และมีการมอบหมายงานตามความถนัดด้วย
(นางสาวสิริกร ราชมณี 12590084)
แนวคิดในการจัดการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
ตอบลบ1.แนวคิดกลุ่มคลาสสิก มีแนวคิดหลักในการจัดการที่มุ่งเน้นการทำงาน โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ และมุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง แบะทดลองซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
เป็นการวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
การแบ่งแผนกอย่างชัดเจน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กร
2.แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมมนุษย์ ให้ความสำคัญกับมนุษย์ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่ง โดยให้ความสำคัญกับคนมากกว่าด้านการจัดระเบียบความสัมพันธ์ตำแหน่ง
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับแรงจูงใจ เชื่อว่าการจูงใจจะทำให้คนตั้งใจทำงาน
3.แนวคิดกลุ่มการจัดการสมัยใหม่ เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ
-แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิต
-แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
-แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
สรุป การบริหารจัดการที่ดีที่สุด เป็นการบริหารจัดการที่มีหลักเกณฑ์และกระบวนการที่ชัดเจน เพื่อที่จะนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ส่วนการบริหารจัดการที่เหมาะสม เป็นการวิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และคนทำงาน เนื่องจากสังคมมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงต้องอาศัยการบริหารจัดการที่เหมาะสมด้วย
(นางสาวเอเซีย พิทยาพละ 12590112)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
ตอบลบ2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะคือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอกล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(เบญญาภา กรีรถ 12590044)
1. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
ตอบลบ1.1. มีแนวคิดที่ชัดเจน
1.2 วิธีทางวิทยาศาสตร์
1.3 ทฤษฎี
2.แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ : ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกนึกคิดของคน
3.แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ : นำทฤษฎีทางคณิศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหาร
4.แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ : ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย
5. แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร : มีการเสนอกฎเกณฑ์และหลักการบริหารจัดการให้มีกระบวนการวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
วิธีที่ดีที่สุดก็ขึนอยู่องค์ประกอบภายในองค์กรด้วย
(นางสาวชุติกาญจน์ ปานดารา 12590016)
ตอบลบการบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
“แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” เน้นการทดลองเพื่อให้ได้กระบวนการ ขั้นตอนและวิธีที่ดีที่สุดในการทำงานเพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุดหรือได้รับผลลัพธ์ดีที่สุดในการททำงาน ขณะที่”แนวคิดการจัดการเชิงบริหาร” นักคิดและนักวิชาการได้กำหนดกฎเกณฑ์และหลักการทางบริหารจัดการให้มีกระบวนวิธีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น “แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์” นั้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับคนและความรู้สึกนึกคิดของคน ซึ่งได้การค้นพบและรับการพัฒนาจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผลผลิตของ พนักงานจนพบว่าปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นผลผลิตของพนักงานขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยทาง การผลิต ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ ส่วน “แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ” เป็นแนวคิดการจัดการที่ทำให้พัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นในการนำทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหาร และสุดท้ายคือ “แนวคิดการจัดการร่วมสมัย” ซึ่งได้เสนอวิธีการที่หลากหลายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการ ด้วยการพิจารณาระบบที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ได้แก่ แนวคิดเรื่องระบบ ซึ่งเน้นให้องค์กรให้ความสำคัญกับระบบต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรซึ่งเป็นระบบใหญ่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ แนวคิดการจัดการตามสถานการณ์เสนอว่าผู้บริหารควรใช้วิธีการบริหารงานที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ซึ่งจะเป็นผลให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดีแนวคิดแต่ละแบบมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
(นางสาวพัชรา จูเอี่ยม 12590054)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันดังนี้
ตอบลบ-การจัดการแบบวิทยาศาสตร์นั้น เป็นการจัดการงานที่มีระบบโดยศึกษาเหตุและผลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทำงานนั้นโดยอาศัยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์หาวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากกระบวนการวิทยาศาสตร์มีขั้นมีตอนที่ชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้จึงนำมาสู่การสร้างมาตรฐานการทำงาน
-การจัดการเชิงบริหาร เป็นการจัดการที่เป็นระบบระเบียบขึ้น แนวความคิดนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าการบริหารแบบวิทยาศาสตร์นั้นเป็นลักษณะสากลที่มีอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่นักทฤษฎีในกลุ่มการจัดการแบบการบริหารนี้จะมุ่งเน้นสนใจในการปรับปรุงการทำงานของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายการจัดการโดยเฉพาะ ไม่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการทำงานของพนักงานระดับล่าง โดยนักทฤษฎีกลุ่มนี้จะมีสมมติฐานว่าความสำเร็จของงานนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานของฝ่ายจัดการหรือฝ่ายบริหารมากกว่า
- การจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ตามหลักของทฤษฎีเน้นหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้างกับสังคมที่เขาทำงานร่วมกันซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นที่คนเป็นหลัก
ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรมคือ Hugo Minstberg แนวความคิดของ Minstberg เขาให้ความสำคัญกับคนงาน เป้าหมายในการศึกษาของเขาคือสภาพจิตใจของคนงานกับตำแหน่งงานที่เขาทำเหมาะสมหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คนงานเกิดความพึงพอใจมากที่สุด
-การจัดการเชิงปริมาณช่วยในการตัดสินใจ โดยใช้คณิตศาสตร์ สถิติและสารสนเทศเป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาทางการจัดการ การใช้การจัดการเชิงปริมาณยังคงใช้ได้เฉพาะปัญหาที่มีลักษณะเป็นแบบที่มีโครงสร้าง ทฤษฎีวิทยาการจัดการ เป็นวิธีการสมัยใหม่ในด้านการจัดการ ที่เน้นการใช้เทคนิคเชิงปริมาณอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยให้ผู้จัดการทำการใช้ทรัพยากรองค์การ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์และบริการให้มากที่สุด
-การจัดการร่วมสมัยมีทฤษฎีที่สำคัญ คือ หลักการบริหารตามทฤษฎีเชิงระบบ หลักการบริหารตามสถานการณ์มีแนวคิดว่า ทุกหลักการไม่ใช่หลักการหรือวิธีที่ดีที่สุด หลักการบางประการบางครั้งได้ก่อให้เกิดผลในทางลบด้วย เช่น หลักการแบ่งงานกันทำตามความถนัด ก่อให้เกิดการสร้างอาณาจักร แข่งขันกันนักทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ จึงเชื่อว่า หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่ง ๆ เท่านั้น
(นายธนสิทธิ์ อาจอ่อนศรี 12590036)
ความหมายของการจัดการ
ตอบลบการจัดการหมายถึงการบริหารคนและงานของพวกเขาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันโดยใช้ทรัพยากรขององค์กร มันสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้จัดการและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสามารถทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม เป็นกลุ่มคนที่ใช้ทักษะและความสามารถของพวกเขาในการใช้ระบบที่สมบูรณ์ขององค์กร มันเป็นกิจกรรมฟังก์ชั่นกระบวนการวินัยและอื่น ๆ อีกมากมาย
การวางแผนการจัดระเบียบผู้นำการจูงใจการควบคุมการประสานงานและการตัดสินใจเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่ดำเนินการโดยฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารนำ 5M มารวมกันในองค์กร ได้แก่ ผู้ชายวัสดุเครื่องจักรวิธีการและเงิน เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ
ความหมายของการบริหาร
การบริหารเป็นกระบวนการที่เป็นระบบในการบริหารการจัดการขององค์กรธุรกิจสถาบันการศึกษาเช่นโรงเรียนหรือวิทยาลัยหน่วยงานราชการหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร หน้าที่หลักของการบริหารคือการจัดทำแผนนโยบายและขั้นตอนการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์การบังคับใช้กฎระเบียบและข้อบังคับ ฯลฯ
การบริหารวางโครงร่างพื้นฐานขององค์กรซึ่งการจัดการขององค์กรทำหน้าที่
ลักษณะของการบริหารราชการคือระบบราชการ เป็นคำที่กว้างขึ้นเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการพยากรณ์การวางแผนการจัดระเบียบและการตัดสินใจในระดับสูงสุดขององค์กร การบริหารหมายถึงชั้นบนสุดของลำดับชั้นการจัดการขององค์กร หน่วยงานระดับสูงเหล่านี้เป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนธุรกิจที่ลงทุนเงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ พวกเขาได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของผลกำไรหรือเป็นเงินปันผล
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการจัดการและการจัดการมีดังนี้:
-การจัดการเป็นวิธีที่เป็นระบบในการจัดการบุคคลและสิ่งต่าง ๆ ภายในองค์กร การบริหารหมายถึงการกระทำของการบริหารทั้งองค์กรโดยกลุ่มคน
-การจัดการเป็นกิจกรรมของธุรกิจและระดับการทำงานในขณะที่การบริหารเป็นกิจกรรมระดับสูง
ในขณะที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายการกำหนดนโยบายจะดำเนินการโดยการบริหาร
-หน้าที่ของการบริหารรวมถึงกฎหมายและความตั้งใจ ในทางกลับกันฟังก์ชั่นของการจัดการคือการบริหารและการปกครอง
-การบริหารใช้การตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมดขององค์กรในขณะที่การจัดการจะทำการตัดสินใจภายใต้ขอบเขตที่กำหนดโดยการบริหาร
-กลุ่มบุคคลที่เป็นพนักงานขององค์กรนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อการจัดการ ในทางกลับกันการบริหารหมายถึงเจ้าของขององค์กร
-การจัดการสามารถเห็นได้ในองค์กรที่ทำกำไรเช่นองค์กรธุรกิจ ในทางกลับกันการบริหารนั้นพบได้ในสำนักงานรัฐบาลและทหารสโมสรโรงพยาบาลองค์กรทางศาสนาและองค์กรไม่แสวงกำไรทั้งหมด
การจัดการคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับแผนและการดำเนินการ แต่การจัดการเกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดกรอบและวัตถุประสงค์
-ฝ่ายบริหารมีบทบาทเป็นผู้บริหารในองค์กร แตกต่างจากการบริหารซึ่งมีบทบาทชี้ขาดในธรรมชาติ
ผู้จัดการดูแลการจัดการขององค์กรในขณะที่ผู้ดูแลรับผิดชอบการบริหารขององค์กร
ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการจัดการคนและงานของพวกเขา ในทางกลับกันการบริหารมุ่งเน้นไปที่การใช้ทรัพยากรขององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(นายอัษฎาวุธ เขตเจริญ 12590106)
แนวคิดในการจัดการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
ตอบลบ1.แนวคิดกลุ่มคลาสสิก มีแนวคิดหลักในการจัดการที่มุ่งเน้นการทำงาน โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ และมุ่งเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง แบะทดลองซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการระบบราชการ
เป็นการวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงกระบวนการ
การแบ่งแผนกอย่างชัดเจน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กร
2.แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมมนุษย์ ให้ความสำคัญกับมนุษย์ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตำแหน่ง โดยให้ความสำคัญกับคนมากกว่าด้านการจัดระเบียบความสัมพันธ์ตำแหน่ง
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงสังคมศาสตร์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประสานงาน
-แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับแรงจูงใจ เชื่อว่าการจูงใจจะทำให้คนตั้งใจทำงาน
3.แนวคิดกลุ่มการจัดการสมัยใหม่ เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ
-แนวคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ ใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิต
-แนวความคิดเชิงระบบ เป็นการวิเคราะห์ แยกส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ หรือองค์การ
-แนวความคิดเชิงสถานการณ์ ทำให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การ
สรุป การบริหารจัดการที่ดีที่สุด เป็นการบริหารจัดการที่มีหลักเกณฑ์และกระบวนการที่ชัดเจน เพื่อที่จะนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ส่วนการบริหารจัดการที่เหมาะสม เป็นการวิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และคนทำงาน เนื่องจากสังคมมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว จึงต้องอาศัยการบริหารจัดการที่เหมาะสมด้วย
นายวัชระ จริยสุขสกุล 12590071
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทำงานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
แนวคิดแต่ละแนวมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกับ ผู้บริหารควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับองค์ก่ และประยุกต์แนวทางให้สอดคล้องกับคสามเป็นไปได้ในองค์กรเพื่อนำแนวทางที่ดีที่สุดมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในองค์กร
(วิลาสินี เกตุแก้ว12590073)
1.แนวคิดการบริหารจัดการในสมัยเดิม แนวคิดการบริหารจัดการในยุคสมัยเดิมจะให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่โดยยึดหลักคุณธรรมในการแบ่งงานเป็นสำคัญอันทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ อีกทั้งยังเน้นหลักความชำนาญเฉพาะด้าน หลักการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นหลักประกันให้งานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความราบรื่น แต่ผลกระทบที่ตามมาคือทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์การลดลง
ตอบลบ2.แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ มุ่งศึกษาปัญหาในด้านการจูงใจ ทำให้คนยินยอมปฏิบัติงานที่มอบหมายให้สำเร็จ เป็นการให้ความสำคัญเกี่ยวกับบุคคลที่มีความต้องการทั้งทางด้านสังคมและตนเอง ส่วนปัจจัยด้านโครงสร้างถูกกำหนดรองลงมา
3.แนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่ แนวคิดของการบริหารจัดการแนวเดิมมุ่งเน้นโครงสร้างที่เป็นทางการ ที่มีการกำหนดกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดในการใช้อำนาจหน้าที่ ส่วนแนวคิดทางการจัดการแนวมนุษยสัมพันธ์และพฤติกรรมศาสตร์นั้นก็มีจุดเด่นที่ได้มุ่งเน้นการให้ความสำคัญในตัวคน สำหรับแนวความคิดของนักทฤษฏีสมัยใหม่ได้วิจารณ์ว่าแนวความคิดทางการจัดการแนวพฤติกรรมศาสตร์สิ่งที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงเนื่องจากโครงสร้างองค์การที่เป็น ทางการและการใช้สิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น
4.แนวคิดการบริหารจัดการยุค โลกาภิวัตน์ มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน และปฏิบัติที่ถูกต้องโดยนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การเพิ่มมูลค่าของ ผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง
แนวคิดที่กล่าวมาข้างต้น แต่ละแนวคิดก็จะมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งแต่ละแนวคิดนั้นก็สามารถที่จะนำมาบริหารจัดการภายในองค์กรของตนเองได้โดยผลลัพธ์ที่ออกมานั้นจะทำให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่างถ่องแท้ และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละองค์กร
(ปาลิตา มนัสปัญญากุล 12590049)
7.จงเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างของบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุดกับการบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด
ตอบลบ: 1.แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2.
แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2.การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทำงานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(ศศิมา ปานชงค์ 12590077
แนวคิดในหลักการจัดการ สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์
3. กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
สรุป : การบริหารจัดการการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนได้ผลผลิตที่มีประสิทธิผลไปพร้อมกันด้วย ในยุคปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือองค์กรใหญ่ต่างก็ต้องการการจัดการที่ดีทั้งนั้น เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวหน้าได้ดีที่สุด
(นางสาว ชนาวาส บัววงค์ 12590013)
การบริหารจัดการโดยหาวิธีที่ดีที่สุด นั่นย่อมหมายถึงการจัดการที่ทำให้ได้รับผลลัพธ์หรือกำไรมาที่สุด ยกตัวอย่างการที่เฟรดเดอริกคิดหาวิธีให้คนงานทำงานให้ได้ชิ้นงานมากสุดในเวลาน้อยสุด แต่สิ่งที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมที่สุด นั่นก็เพราะ การบริหารจัดการที่เหมาะสมที่สุด อาจจะมาจากหลากหลายรูปแบบถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรซึ่งแน่นอนว่าอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีและน่าพอใจสำหรับทุกฝ่าย
ตอบลบนางสาว หมายขวัญ นวลอุไร 12590099
แนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
นางาสาวภัทราพร ผังรักษ์ 12590061
1. คน องค์การจะประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่องค์การจะมีคนเป็นจานวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแบ่งงานกันทา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยที่คนจะปฏิบัติงานร่วมกันได้จำเป็นต้องอาศัย “ ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ ” เพื่อทาความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอบลบ2. เทคนิค การบริหารองค์การต้องอาศัยเทคนิควิทยาการ หรือที่เรียกว่า เทคโนโลยี เพื่อการแก้ไขปัญหาหรือติดสินใจ หรืออาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้องค์การไม่สามารถจะบริหารงานได้โดยอาศัยแต่เฉพาะประสบการณ์ ความเฉลียวฉลาดของนักบริหารเท่านั้น ในหลายกรณีผู้บริหารต้องอาศัย เทคนิคทางการบริหารเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือการตัดสินใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยงอีกด้วย
3. ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ ในการปฏิบัติงานและการแก้ไขปัญหาการอาศัยเทคนิคทางการบริหาร ยังไม่เพียงพอสาหรับการบริหารองค์การ นักบริหารยังต้องอาศัยความรู้ ข้อมูลข่าวสาร เพื่อความเข้าใจ เพื่อการวิเคราะห์ ตลอดจนการคาดคะเนแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นเทคนิคเพื่อการบริหารจึงควบคู่ไปกับ ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
4. โครงสร้าง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่น้อยขององค์การ ซึ่งนักบริหารจะต้องจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับงาน เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสม เพื่อให้งานขององค์การบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์มนุษย์จัดตั้งองค์การขึ้นมาก็เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่มนุษย์ต้อง ดังนั้น องค์การจึงต้องมีเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
(พัชมน มนต์วิมลพร 12590053)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก
ในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากการบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผลสาหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะคือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทาการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทางาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทางานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทางานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทางานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทางานของคนและปัจจัย
อื่นๆจากการทดลองนี้ได้ประโยชน์หลายประการ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย(ชัชญาณ์ณัฐ ภูวิศภัทรนนท์ 12590110)
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
- หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
- การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
- การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
- การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก(Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ
3.กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
- แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
สรุปว่าแนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง
นางสาว ดวงหทัย โฉมมา 12590029
แนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
ตอบลบ1.แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2.แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3.แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ
4.แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ
(นายชินวัตร พิพัฒน์พงศานนท์ 12590015)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกัน โดย
ตอบลบ1. แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง ทดลองตามกระบวนการซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
2. แนวคิดการจัดการเชิงบริหารเป็นการกำหนดหลักการบริหารให้ชัดเจน คือ การริเริ่มกำหนดกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจหน้าที่ทางการจัดการคุณลักษณะของผู้จัดการและหลักการจัดการ
3. แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการจัดการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึก และความคาดหวังของคนงาน และเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
4. แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณเป็นการนำหลักคณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
5. แนวคิดการจัดการร่วมสมัยเป็นแนวคิดเรื่องระบบ คือ การวางแผน การบริหารทรัพยากรบุคคล การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน การควบคุม การเงินและการผลิต
การบริหารจัดการทั้งหมดที่กล่าวมามีความเหมือนกันคือเป็นการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดแต่แตกต่างกันตรงวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้องคืกรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
(ณัฐนพิน ชินวัฒนา 12590021)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทางานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทางานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทางานเพราะกลัวการลงโทษ
ตอบลบ2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 188 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดย Taylor ได้เข้าทางานครั้งแรก สำหรับการศึกษาที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ( The Scientific Approach ) มีส่วนประกอบสำคัญ 3ลักษณะ คือ
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน ( Clear Concept ) แนวความคิดต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะวิเคราะห์
2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific ) สาขาพิจารณาข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือสังเกตได้ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาทาการทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือหลักเกณฑ์(Principles)
3.ทฤษฎี ( Theory ) หมายถึง การจัดระบบความคิดและหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทางาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทางานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทางานมิใช่ทางานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทางานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทาการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทางาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทางานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทางานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทางานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทางานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทาให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
(สิทธิชัย พ่อค้าเรือ 12590083)
การบริหารจัดการแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกัน โดย
ตอบลบ1. แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการตั้งสมมติฐาน กำหนดตัวแปร ทดลองแล้วจึงวัดผลการทดลอง ทดลองตามกระบวนการซ้ำจนค้นพบวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กระทั่งค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำงาน
2. แนวคิดการจัดการเชิงบริหารเป็นการกำหนดหลักการบริหารให้ชัดเจน คือ การริเริ่มกำหนดกิจกรรมหลักในองค์กรธุรกิจหน้าที่ทางการจัดการคุณลักษณะของผู้จัดการและหลักการจัดการ
3. แนวคิดการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการจัดการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกขององค์กร ความรู้สึก และความคาดหวังของคนงาน และเป้าหมายและแรงจูงใจในการทำงานของคนงาน
4. แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณเป็นการนำหลักคณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประมวลผลเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
5. แนวคิดการจัดการร่วมสมัยเป็นแนวคิดเรื่องระบบ คือ การวางแผน การบริหารทรัพยากรบุคคล การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน การควบคุม การเงินและการผลิต
การบริหารจัดการทั้งหมดที่กล่าวมามีความเหมือนกันคือเป็นการจัดการเพื่อให้องค์กรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุดแต่แตกต่างกันตรงวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้องคืกรมีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
(พงศธร ศิริสมบูรณ์ 12590052)
สำหรับแนวคิดทางการบริหารการจัดการได้วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ตอบลบ1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือประมาณปี ค.ศ 1880เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของวิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งยุคมนุษย์สัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยคนเป็นหลัก ดังนั้นแนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงทาให้เรื่องราวของมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation ) กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นนักวิชาการสำคัญที่ให้การสนับสนุนและศึกษาแนวคิดซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการเข้าใจพฤติกรรมของคนในหน้าที่งานที่จัดไว้ให้ ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคมภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลองออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตประสิทธิของการทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ ( Interviewing Studies ) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา
3. การศึกษาโดยการสังเกต ( Observation Studies ) เป็นการสังเกตการทำงานของคนและปัจจัย
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management )ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ ตลอดจนการจัดการเชิงระบบมาช่วย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนเป็นระบบ เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย อวัยวะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างอัตโนมัติ ระบบจึงถือเป็น Grand Theory เป็นทฤษฎีขนาดใหญ่ เพราะมีระบบย่อยหรือสิ่งต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การไม่ว่าภายในหรือภายนอก ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นการบริหารการจัดการจึงต้องปรับตัวให้มีความสมดุลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าว จึงจะทำให้องค์การเติบโต อยู่รอด และสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย
แนวคิดแต่ละแนวมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกับ ผู้บริหารควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับองค์ก่ และประยุกต์แนวทางให้สอดคล้องกับคสามเป็นไปได้ในองค์กรเพื่อนำแนวทางที่ดีที่สุดมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในองค์กร
(ธนพล โชครัตน์ประภา 12590033)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุค
ตอบลบก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงาน ซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้ การลงโทษ การใช้แส้ การท างานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือประมาณปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการบริหารในยุคนี้มี 2 ท่าน คือ Frederich W. Taylor และ Henri J. Fayol
Frederich W.Taylor ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของ
วิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผล Taylor ได้คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าที่ใช้อำนาจ (Power) ว่าเป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้และมีความ
เชื่อว่า การบริหารที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ การทำงานไม่ได้เป็นไปตามยะถากรรม Taylor จึงได้ศึกษาและวิเคราะห์เวลาการเคลื่อนไหวในขณะทำงาน ( Time and Motion ) เพื่อดูการทำงานและการเคลื่อนไหวของคนงานในขณะทำงาน โดยได้คิดค้นและกำหนด วิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way) สำหรับงานแต่ละอย่างที่ได้มอบหมายให้คนงานทำ ดังนั้น ผู้บริหารการจัดการ จึงต้องเน้นและปฏิบัติดังนี้
1.กำหนดวิธีการทำงานด้วยหลักเกณฑ์ที่ได้มีการทดลองแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากร ต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสม
3. ต้องมีการประสานร่วมมือระหว่างผู้บริหารกับคนงาน
4. ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในด้านการวางแผน และมีการมอบหมายงานตามความถนัดด้วย
(ธนกฤติ สาสนทาญาติ 12590032)
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Pre– Scientific Management ) ในยุคนี้เป็นยุค
ตอบลบก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงาน ซึ่งวิธีการบังคับอาจใช้ การลงโทษ การใช้แส้ การท างานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) แนวคิดนี้เริ่มในช่วงของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือประมาณปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมาจนถึงปี 1930 ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบ
วิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทำให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการบริหารในยุคนี้มี 2 ท่าน คือ Frederich W. Taylor และ Henri J. Fayol
Frederich W.Taylor ได้รับการยอกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการแบบวิทยาศาสตร์หรือบิดาของ
วิธีการจัดการที่มีหลักเกณฑ์ โดยได้ศึกษาหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย Taylor ได้เข้าทำงานครั้งแรกในโรงงานที่เพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ ไม่มีมาตรฐานในการประเมินผลงานของคนงาน การแบ่งงานไม่เหมาะสม การตัดสินใจขาดหลักการและเหตุผล Taylor ได้คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าที่ใช้อำนาจ (Power) ว่าเป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้และมีความ
เชื่อว่า การบริหารที่ดีต้องมีหลักเกณฑ์ การทำงานไม่ได้เป็นไปตามยะถากรรม Taylor จึงได้ศึกษาและวิเคราะห์เวลาการเคลื่อนไหวในขณะทำงาน ( Time and Motion ) เพื่อดูการทำงานและการเคลื่อนไหวของคนงานในขณะทำงาน โดยได้คิดค้นและกำหนด วิธีการทำงานที่ดีที่สุด (One Best Way) สำหรับงานแต่ละอย่างที่ได้มอบหมายให้คนงานทำ ดังนั้น ผู้บริหารการจัดการ จึงต้องเน้นและปฏิบัติดังนี้
1.กำหนดวิธีการทำงานด้วยหลักเกณฑ์ที่ได้มีการทดลองแล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2. การคัดเลือกบุคลากรและการบริหารบุคลากร ต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสม
3. ต้องมีการประสานร่วมมือระหว่างผู้บริหารกับคนงาน
4. ผู้บริหารต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในด้านการวางแผน และมีการมอบหมายงานตามความถนัดด้วย
(คณภัทร์ ศิริโยธิน 12590108)
แนวคิดในการจัดการ แบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ แนวคิดคลาสสิก แนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ และแนวคิดการจัดการสมัยใหม่
ตอบลบ1.กลุ่มคลาสสิกมีแนวคิดหลักในการจัดการที่เน้นการแยกการบริหารออกจากการเมือง โดยมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการเชิงบริหาร และการจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ
- หลักสำคัญของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ มี หลักเรื่องเวลา หลักการกำหนดหน่วยการจ้าง หลักการแยกงานวางแผนออกจาการปฏิบัติ หลักการทำงานแบบวิทยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ หลักการจัดระเบียบในการปฏิบัติงาน
- การจัดการเชิงบริหาร มีหลักการสำคัญคือ การวางแผน การจัดหน่วยงาน การบังคับบัญชา การประสานงานและการควบคุม
- การจัดการตามแนวคิดของระบบราชการ มีหลักการสำคัญ คือ การแบ่งแผนกในองค์กรไว้ อย่างชัดเจนแน่นอน การจัดหน่วยงานเป็นลำดับชั้น การกำหนดกฎระเบียบเพื่อใช้ในการควบคุมดูแล การจำแนกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจากองค์กร การกำหนดวิธีการคัดเลือกหรือสรรหาบุคลากรการทำงานในองค์กรสามารถยึดเป็นอาชีพได้
2. กลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ กลุ่มนี้มองว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เป็นทรัพยากรที่มีความรู้สึกนึกคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้แก่ แนวคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นต้น
- การจัดการจิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคิดของนักวิชาการชาวปรัสเซียชื่อ ฮิวโก เมาน์สเตอร์เบิร์ก(Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น เพราะมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทักษะทางร่างกายและมีใจรักที่จะทำงานดังกล่าว แนวคิดนี้จึงพยายามศึกษาและทดสอบ เพื่อคัดเลือกคนงานเข้าทำงานด้วยการทดสอบทางจิตวิทยาด้วย
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศึกษาของเอลตัน เมโยล์ ได้ทำการศึกษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยได้เน้นความสนใจในเรื่องบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นำ
3.กลุ่มการจัดการสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทำงานโดยนำความรู้ในทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม การบัญชี เข้ามาช่วยในการจัดการ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบริหารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคิดเชิงระบบ
- แนวคิดเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่แวดล้อมองค์กร ดังนั้นผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการของตนเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ แนวคิดนี้มีจุดเด่นคือ ไม่เชื่อในหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าไม่มีหลักการใดที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทุกองค์กร ดังนั้นการจัดการแต่ละองค์กรจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้น ๆ
สรุปว่าแนวคิดแต่ละแบบจึงมีจุดเด่นของตนเอง ซึ่งผู้บริหารจะต้องศึกษาแนวคิดแต่ละแบบอย่าง ถ่องแท้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ของแต่ละองค์กรเพื่อให้นำมาซึ่งประโยชน์และ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
(สมภพ ขุนทรง 12590079)
ตอบลบความเหมือนและความแตกต่างของ การบริหารจัดการ ซึ่งแนวคิดการจัดการในด้านต่างๆ มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน คือการทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
1. แนวคิดก่อนยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้เป็นยุคก่อนปี ค.ศ. 1880 ซึ่งการบริหารในยุคนี้อาศัยอำนาจหรือการบังคับให้คนงานทำงานซึ่งอาจใช้การลงโทษ การใช้แส้ การทำงานในยุคนี้เปรียบเสมือนทาส คนในยุคนี้จึงต้องทำงานเพราะกลัวการลงโทษ
2. แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Management ) ในยุคนี้ได้ใช้หลักวิธีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์มาช่วยในการบริหารการจัดการ ทาให้ระบบบริหารการจัดการแบบโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
3. แนวคิดการจัดการยุคมนุษย์สัมพันธ์ ( Human Relation )แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นประสิทธิภาพของการทำงาน และมองข้ามความสำคัญของคน เห็นว่ามนุษย์ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความต้องการมากนัก มีพฤติกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ
4. แนวคิดการจัดการยุคการบริหารสมัยใหม่ ( Modern Management ) ซึ่งในขณะนี้เศรษฐกิจ และธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วความสลับซับซ้อนในการบริหารการจัดการก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นการจัดการสมัยใหม่ จึงต้องใช้หลักทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ
(น.ส.ณัฐรี เต่าแก้ว 12590026)